คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเพราะเห็นว่าคำชี้ขาด ของอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎหมายนั้น เป็นคำสั่งในอำนาจของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา 218 วรรคท้าย มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา 243 (1) ดังนั้น เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วสั่งให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะพิพากษาว่า ไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามคำขอในอุทธรณ์ของโจทก์ แต่คำขอในอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นการขอให้คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมีผลบังคับโดยคำพิพากษาของศาลตามมาตรา 221 นั่นเอง มิใช่เป็นการอุทธรณ์คำสั่งอย่างธรรมดา เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ขัดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาตามคำชี้ขาดนั้นเสียเองได้ หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ไม่
ในกรณีดังกล่าว การที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาเพียง 50 บาท สืบเนื่องมาจากเรื่องที่โจทก์เข้าใจอำนาจของศาลอุทธรณ์ผิด ซึ่งศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ถูกต้องได้เมื่อจะพิพากษา
อนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดให้จำเลยคืนเงิน 40,000 บาท ให้โจทก์ หากไม่คืนภายในเวลาที่กำหนดก็ให้โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งขายที่ดินที่พิพาทพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้าง เงินที่ขายได้ตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้เดียว ดังนี้ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในกรณีนี้ก็คือ ชี้ขาดให้จำเลยคืนเงิน 40,000 บาท ให้โจทก์ภายในเวลาที่กำหนด ส่วนที่อนุญาโตตุลาการกล่าวต่อไปนั้น หาใช่เป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ เป็นแต่เพียงคำเสนอแนะว่า หากจำเลยไม่คืนเงินให้โจทก์ภายในกำหนด ก็ให้เสนอคดีต่อศาลต่อไปเท่านั้น ส่วนวิธีการบังคับคดีซึ่งศาลจะสั่งขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวหรือไม่ หรือขายทอดตลาดได้เงินเท่าใด ให้เป็นของใครนั้น ย่อมอยู่ภายใต้บทบัญญัติในภาค 4 ลักษณะแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ฉะนั้น คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยขายได้เงินเท่าใด ให้เป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวนั้น ย่อมเป็นการขัดต่อวิธีการบังคับคดีดังกล่าว ศาลจะพิพากษาตามคำขอของโจทก์ในข้อนี้ไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 40,000 บาท ให้แก่โจทก์ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๑๐๘ พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนางทองเมี้ยน สุรทรวรพจน์ ราคา ๔๐,๐๐๐ บาท ชำระเงินครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำการโอนโฉนดกัน นางทองเมี้ยนก็ถึงแก่กรรม โจทก์จึงขอให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกจัดการโอนที่ดินหรือคืนเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท จำเลยปฏิเสธ โจทก์จำเลยตกลงตั้งนายโพธิ์ วรรณปักษ์ เป็นอนุญาโตตุลาการชี้ขาดข้อพิพาท อนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดให้จำเลยคืนเงิน ๔๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ ภายในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๑๖ หากไม่คืนภายในกำหนดนี้ก็ให้โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งขายที่ดินโฉนดที่ ๑๐๘ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เงินที่ขายได้ให้ตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้เดียว จำเลยไม่ปฏิบัติตาม จึงขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ และสั่งขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขายได้เงินเท่าใด ให้เป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว
จำเลยให้การรับตามฟ้อง และขอให้ศาลมีคำพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำสั่งปฏิเสธ ไม่ยอมพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๑ วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา ๒๑๘ วรรคท้าย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เป็นไปตามคำขอของโจทก์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตรงกับข้อเท็จจริงที่พิพาทกัน และคำชี้ขาดนั้นไม่ขัดต่อกฎหมาย แต่เห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ มีผลเท่ากับพิพากษายกฟ้องของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์เพียงขอให้กลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามคำขอของโจทก์โดยเสียค่าขึ้นศาล ๕๐ บาท ซึ่งเป็นการอุทธรณ์คำสั่งอย่างธรรมดา ซึ่งในการพิพากษาคดีนั้นศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๐ ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้อำนาจศาลอุทธรณ์ที่จะบังคับให้ศาลชั้นต้นต้องมีความเห็นว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ขัดต่อกฎหมาย และให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามคำชี้ขาดตามคำขอของโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาตามคำขอของโจทก์ไม่ได้ ทั้งจะพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก็ไม่ได้ เพราะเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๖ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เป็นคำสั่งในอำนาจของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๑ วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา ๒๑๘ วรรคท้าย เมื่อกรณีมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา ๒๔๓ (๑) ดังที่โจทก์ฎีกา การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตามคำขอในอุทธรณ์ของโจทก์นั้น ชอบแล้ว แต่ข้อที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามคำชี้ขาดดังกล่าวเสียเองไม่ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอนั้น เห็นว่า คำขอท้ายฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วสั่งให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปตามคำขอของโจทก์ เช่นนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ขอให้คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวมีผลบังคับโดยคำพิพากษาของศาล ตามมาตรา ๒๒๑ นั่นเอง ฉะนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ขัดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาตามคำชี้ขาดนั้นได้ หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ไม่ ส่วนที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาเพียง ๕๐ บาทก็สืบเนื่องมาจากเรื่องที่โจทก์เข้าใจอำนาจของศาลอุทธรณ์ผิด ซึ่งศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ถูกต้องได้เมื่อจะพิพากษา ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่พิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องโจทก์และคำแถลงรับของจำเลย เห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในกรณีนี้ก็คือ ชี้ขาดให้จำเลยคืนเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ภายในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๑๖ ส่วนที่อนุญาโตตุลาการกล่าวต่อไปว่าหากไม่คืนภายในกำหนดนี้ ก็ให้โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งขายที่ดินโฉนดที่ ๑๐๘ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เงินที่ขายได้ตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้เดียวนั้น หาใช่เป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ เป็นแต่เพียงคำเสนอแนะของอนุญาโตตุลาการว่า หากจำเลยไม่คืนเงินให้โจทก์ภายในกำหนด ก็ให้โจทก์เสนอคดีต่อศาลต่อไปเท่านั้น ส่วนวิธีการบังคับคดีซึ่งศาลจะสั่งขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๐๘ พร้อมสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ หรือขายทอดตลาดได้เงินเท่าใด ให้ตกเป็นของใครนั้น ย่อมอยู่ภายใต้บทบัญญัติในภาค ๔ ลักษณะ ๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาแพ่งว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาและคำสั่ง ฉะนั้น คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๐๘ พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยขายได้เงินเท่าใด ให้เป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว นั้น ย่อมเป็นการขัดต่อวิธีการบังคับคดีดังกล่าว ศาลจะพิพากษาตามคำขอของโจทก์ในข้อนี้ไม่ได้
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน ๔๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ส่วนคำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย

Share