แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1เป็นปัญหาข้อกฎหมายส่วนข้อ 2.2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริง รับเป็นอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมาย ไม่รับในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์เห็นว่าอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ 2.2ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 79)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 29,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 70)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์มีรายได้เดือนละ 1,200 บาท รายได้จากการทำงานนอกเวลาประมาณเดือนละ 3,000 บาท แต่ไม่เกิน6,000 บาท แสดงว่ามีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งเป็นรายได้ประมาณเดือนละ 4,000 บาท ข้อเท็จจริงจึงน่าจะเป็นอย่างที่จำเลยนำสืบว่ารายได้ของโจทก์คำนวณจากผลงานที่โจทก์ทำได้ ซึ่งศาลพิจารณาแล้วโจทก์คงได้ค่าจ้างประมาณเดือนละ 4,200 บาทฉะนั้นข้อที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.2 ว่า พยานโจทก์ต่างเบิกความยืนยันว่าโจทก์มีรายได้เป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ประกอบกับเอกสารหมาย ล.2แล้วจึงต้องฟังว่าโจทก์มีเงินเดือน ๆ ละ 10,705 บาท ตามฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นว่า เป็นอุทธรณ์โต้เถียงจำนวนค่าจ้างของโจทก์ซึ่งศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติแล้วว่าโจทก์ได้ค่าจ้างเดือนละ 4,200บาทเพื่อเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 หาใช่เป็นการวินิจฉัยขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวนดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง