แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และ 2.3 เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ส่วนข้อ 2 เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดีต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 จำเลยฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์ เคลือบคลุมหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยข้อ 2.2จำเลยฎีกาว่า คดีนี้หาใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องไม่ ข้อ 2.3 จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามมูลละเมิดแล้ว ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง(วันที่ 31 มกราคม 2532) รวมกันต้องไม่เกิน 10,000 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 97)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลและไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นหรือหาประกันให้ไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบมาตรา 247และมาตรา 252 จึงให้ส่งศาลฎีกาพิจารณาสั่ง (อันดับ 100)
คำสั่ง
จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234ประกอบด้วย มาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย