แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยได้ชำระเงินบางส่วนในมูลหนี้เดิมให้โจทก์แล้ว ย่อมถือว่าเป็นการยอมความนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เนื่องจากจำเลยได้ชำระหนี้ในมูลหนี้เดิมบางส่วนแล้วจนเหลือ กลายเป็นเช็คพิพาท เห็นควรลงโทษสถานเบา ให้จำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 117)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 118)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี คู่ความย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาโดยอ้างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 5 ว่าการกระทำของจำเลยที่ได้ชำระเงินในมูลหนี้เดิมให้แก่โจทก์บางส่วน เป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายจำเลยไม่ควรต้องรับโทษ ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลล่างทั้งสอง ทั้งข้อที่ว่าจำเลยได้ชำระเงินในมูลหนี้เดิม ให้แก่โจทก์บางส่วนหรือไม่ก็เป็นปัญหาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง