คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6500/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพ่อค้าประกอบธุรกิจซื้อขายรถยนต์ จำเลยที่ 1 จึงเป็นพ่อค้ารถยนต์อันถือได้ว่าเป็นพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ส่วนการที่จำเลยที่ 1มิได้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์คันพิพาทก็ดี จำเลยที่ 1 มิได้ประกอบการค้ารถยนต์โดยชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่มีทะเบียนการค้าทะเบียนพาณิชย์และใบอนุญาตค้าของเก่าก็ดี จำเลยที่ 1มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก็ดี และจำเลยที่ 1 ไม่มีรถยนต์คันพิพาทอยู่ในความครอบครองที่สถานประกอบการของตนในขณะที่ โจทก์ตกลงซื้อกับจำเลยที่ 1 ก็ดี หาใช่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ในสถานะดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปไม่ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยที่ 2เป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทภายหลังจากที่โจทก์ได้รับมอบรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1 และชำระราคาให้แก่จำเลยที่ 1จนครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้แย้งคัดค้านเพียงว่าโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทคันพิพาทที่แท้จริงเป็นจำเลยที่ 2 แต่ตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ความชัดแจ้งว่าโจทก์ทราบดังกล่าวตั้งแต่เมื่อใด ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงยุติและรับฟังได้เช่นนั้น โจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพ่อค้าขายของชนิดนั้นโดยสุจริต โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 คือโจทก์ไม่ต้องคืนรถยนต์คันพิพาทแก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมาส่วนสิทธิของจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าของรถยนต์คันพิพาทตามมาตรา 1336 ซึ่งตกอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 1332ดังนี้ จำเลยที่ 2 จะใช้สิทธิในฐานะเจ้าของรถยนต์คันพิพาทเพื่อติดตามและเอาคืนซึ่งรถยนต์คันพิพาทจากโจทก์ไม่ได้เว้นแต่จำเลยที่ 2 จะชดใช้ราคาที่โจทก์ซื้อมาให้แก่โจทก์เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ปฎิบัติต่อโจทก์ดังกล่าวโจทก์จึง ไม่จำต้องคืนรถยนต์คันพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และไม่มีความรับผิดต้องชดใช้ราคารถยนต์พิพาทกับค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพ่อค้ารถยนต์ประกอบกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ทุกชนิด ใช้ชื่อว่า “ศูนย์รวมรถบรมอาสน์”และ “ศูนย์รวมรถยนต์พระยาพิชัย” จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการซื้อขายรถยนต์และให้กู้ยืมเงินด้วยการให้เช่าซื้อรถยนต์ โจทก์ตกลงซื้อรถยนต์เก๋ง 1 คันจากจำเลยที่ 1 โจทก์รับมอบรถยนต์ที่ตกลงซื้อขายจากจำเลยที่ 1พร้อมกับชำระราคาให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1สัญญาจะส่งมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่โจทก์ในวันที่ 24เมษายน 2535 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ปฎิบัติตามสัญญา ต่อมาวันที่17 มิถุนายน 2535 โจทก์ทราบว่าใบคู่มือ จดทะเบียนรถคันดังกล่าวมีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์ ทั้งนี้โดยเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2535 จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่ารถยนต์คันดังกล่าวซึ่งได้หมายเลขทะเบียน ก – 6944 ลำปางเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองกลับสมคบกันหลอกลวงฉ้อฉลโจทก์โดยจำเลยที่ 1 นำหลักฐานการซื้อขายรถยนต์มาจดทะเบียนให้มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์ แล้วทำสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยที่ 2 โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองส่งมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถคันดังกล่าวให้แก่โจทก์ และขอจดทะเบียนแก้ไขชื่อในใบคู่มือจดทะเบียนรถให้เป็นชื่อของโจทก์แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาว่ารถยนต์เก๋งคันที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันขอเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถยนต์ในใบคู่มือจดทะเบียนรถคันดังกล่าวจากชื่อจำเลยที่ 2 เป็นชื่อของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฎิบัติก็ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองแต่ถ้าจำเลยทั้งสองไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ก็ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 458,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทตามฟ้อง โจทก์ครอบครองรถยนต์คันพิพาทโดยไม่ชอบและทำให้จำเลยที่ 2 เสียหายเพราะขาดประโยชน์จากการนำรถยนต์คันพิพาทออกให้ผู้อื่นเช่าซึ่งจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ12,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ให้คืนรถยนต์คันพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 426,790 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 26มีนาคม 2536 ถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงิน 5,700 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับใช้ค่าเสียหายนับแต่วันที่ 26มีนาคม 2536 ถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงิน 20,000 บาท และค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 8,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนรถยนต์คันพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพ่อค้ารถยนต์โดยสุจริต โจทก์มีสิทธิในรถยนต์คันพิพาทดีกว่าจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1มิได้เป็นพ่อค้ารถยนต์อันถือว่าเป็นพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 นั้น เห็นว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นพ่อค้าซึ่งประกอบธุรกิจซื้อขายรถยนต์ใช้ชื่อว่า “ศูนย์รวมรถบรมอาสน์”โจทก์ (ผู้ซื้อ) รับมอบรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1 (ผู้ขาย)และชำระราคารถยนต์คันพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นแล้วจำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านข้อเท็จจริงดังกล่าวแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงยุติและรับฟังได้เช่นนั้นตามข้อเท็จจริงนี้แสดงว่าโจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นพ่อค้าประกอบธุรกิจซื้อขายรถยนต์ จำเลยที่ 1 จึงเป็นพ่อค้ารถยนต์อันถือได้ว่าเป็นพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332
ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์คันพิพาทก็ดีจำเลยที่ 1 มิได้ประกอบการค้ารถยนต์โดยชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่มีทะเบียนการค้าทะเบียนพาณิชย์และใบอนุญาตค้าของเก่าก็ดีจำเลยที่ 1 มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก็ดี และจำเลยที่ 1 ไม่มีรถยนต์คันพิพาทอยู่ในความครอบครองที่สถานประกอบการของตนในขณะที่โจทก์ตกลงซื้อกับจำเลยที่ 1ก็ดี หาใช่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ในสถานะตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังมาดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับฎีกาของจำเลยที่ 2 นี้อีกเพราะไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของจำเลยที่ 2
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริตนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์รับมอบรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2534 และโจทก์ชำระราคารถยนต์คันพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2535 ต่อมาวันที่ 17 มิถุนายน 2535 โจทก์จึงทราบว่ารถยนต์คันพิพาทมีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของในใบคู่มือจดทะเบียนรถ จึงเชื่อว่าโจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2535 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ได้รับมอบรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1 และชำระราคาให้แก่จำเลยที่ 1 จนครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้แย้งคัดค้านเพียงว่าโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทที่แท้จริงเป็นจำเลยที่ 2 แต่ตามฎีกาของจำเลยที่ 2ไม่ได้ความชัดแจ้งว่าโจทก์ทราบดังกล่าวตั้งแต่เมื่อใดทั้ง ๆ ที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ฟังข้อเท็จจริงไว้แล้วว่าโจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2535 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ได้รับมอบรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1 และชำระราคาให้แก่จำเลยที่ 1 จนครบถ้วนแล้วดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2รับฟังมาดังกล่าวแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงยุติและรับฟังได้เช่นนั้น ตามข้อเท็จจริงนี้ถือได้ว่า โจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพ่อค้าขายของชนิดนั้นโดยสุจริต โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 คือ โจทก์ไม่ต้องคืนรถยนต์คันพิพาทแก่เจ้าของแท้จริงเว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อสุดท้ายว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าของรถยนต์คันพิพาทมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งรถยนต์คันพิพาทจากโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 นั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีสิทธิไม่จำต้องคืนรถยนต์คันพิพาทแก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ดังนี้ สิทธิของจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าของรถยนต์คันพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 กล่าวคือจำเลยที่ 2 จะใช้สิทธิในฐานะเจ้าของรถยนต์คันพิพาทเพื่อติดตามและเอาคืนซึ่งรถยนต์คันพิพาทจากโจทก์ไม่ได้ เว้นแต่จำเลยที่ 2 จะชดใช้ราคาที่โจทก์ซื้อมาให้แก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 หาได้ปฎิบัติต่อโจทก์ดังกล่าวไม่ โจทก์จึงไม่จำต้องคืนรถยนต์คันพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และไม่มีความรับผิดต้องชดใช้ราคารถยนต์คันพิพาทกับค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 ดังที่จำเลยที่ 2 ฎีการวมมาในข้อนี้ด้วย
พิพากษายืน

Share