แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกาสามฉบับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาฉบับแรกและฉบับที่สองเพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ส่วนฎีกาฉบับที่สามศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วตั้งแต่ฎีกาลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2533 และฎีกาลงวันที่ 5 มีนาคม 2533ของจำเลยแล้ว จำเลยมายื่นฎีกาในวันนี้อีก จึงเป็นการยื่นฎีกาซ้ำซ้อนเพราะมีเนื้อหาเช่นเดียวกัน จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาฉบับเก่าของจำเลยตกไปโดยปริยายเพราะศาลมีคำสั่งไม่รับ จำเลยจึงถือเอาฎีกาที่ยื่นครั้งสุดท้ายเป็นฎีกาที่ใช้ต่อสู้คดีนี้เพียงฉบับเดียว ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นฎีกาซ้ำซ้อน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 108)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 มาตรา 59 ลงโทษจำคุก 3 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาฉบับแรกลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2533 และฉบับที่สองลงวันที่ 5 มีนาคม 2533 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาทั้ง 2 ฉบับ
ต่อมาจำเลยฎีกา ฉบับที่สามลงวันที่ 6 มีนาคม 2533 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 97,99,100)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 103)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาฉบับสุดท้ายของจำเลยที่ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่า รถจักรยานยนต์ของกลางได้ถูกคนร้ายลักไปจึงลงโทษจำเลยฐานรับของโจรไม่ได้นั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองซึ่งฟังต้องกันมาว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง