แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ฎีกาข้อ 4 เป็นฎีกา โต้แย้งคำสั่งศาลที่ไม่ไปเดินเผชิญสืบซึ่งเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งคัดค้านไว้ จึงต้อง ห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบด้วยมาตรา 226 ส่วนฎีกาอื่น ๆ เป็นฎีกาโต้แย้ง ดุลยพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 เป็นปัญหาว่าโจทก์นำคดีมาฟ้องโดยเสียค่าธรรมเนียมศาลไม่ครบ ไม่ชอบด้วย กฎหมาย ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอน นิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้หรือไม่ เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณ เป็นราคาเงินได้จำเลยทั้งสองจึงฎีกาได้ฎีกาข้อ 3 เป็นปัญหา ข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีผิดไปจากข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในสำนวนเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และฎีกาข้อ 4 ที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์ว่าประเด็นข้อพิพาท ไม่เกี่ยวกับการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแล้วสั่งงดเดิน เผชิญสืบ แต่เมื่อมีคำพิพากษากลับยกเหตุผลเรื่องการครอบครอง ที่ดินขึ้นวินิจฉัยเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดพลาด จำเลยทั้งสองฎีกา จึงได้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยทั้งสองต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 97)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระค่าคำร้องมา 20 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 404ตำบลกันตังใต้อำเภอกันตัง จังหวัดตรังระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียน ขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ พร้อมกับรับชำระราคาที่ดินจำนวน 10,000 บาท จากโจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอา คำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 96)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล (อันดับ 97)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ค่าขึ้นศาลที่เรียกเก็บจากโจทก์ในขณะที่ยื่นคำฟ้องนั้น แม้ต่อมาในภายหลังจะปรากฏว่า โจทก์ ชำระค่าขึ้นศาลไม่ถูกต้อง ก็หาได้มีกฎหมายบัญญัติให้การพิจารณา พิพากษาคดีต้องเสียไปไม่ และเมื่อคดีล่วงเลยไปถึงขั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้พิจารณาและพิพากษาคดีแล้วจึงไม่มีเหตุ สมควรจะหยิบยกเรื่องโจทก์ชำระค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นครบถ้วน หรือไม่ขึ้นมาพิจารณาอีก ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ชำระ ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นไม่ถูกต้อง จึงเป็นฎีกาข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ส่วนข้อ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดเผชิญสืบที่ดินพิพาทแต่กลับยกเหตุเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นอ้างในคำพิพากษาจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดพลาด ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นเผชิญสืบที่ดินพิพาท แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น เห็นว่าคำสั่งให้งดเผชิญสืบที่ดินพิพาทของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2),247 สำหรับฎีกาข้ออื่น ๆ นอกจากนี้เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 เช่นกัน คำสั่ง ศาลชั้นต้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง