แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนำให้จำเลยผู้จำนำเช่าเครื่องจักรอันเป็นทรัพย์สินจำนำย่อมเป็นการยอมให้ทรัพย์สินจำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของผู้จำนำตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา 769 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิจำนำของผู้ร้องจึงระงับสิ้นไปตามมาตราดังกล่าว ผู้ร้องจึงมิใช่เจ้าหนี้ผู้รับจำนำที่จะร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 ได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง แล้วโจทก์จำเลยทำสัญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมชำระเงิน ๓๔,๘๘๓,๓๓๖.๘๔ บาท พร้อมดอกเบึ้ยและค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนแก่โจทก์ โดยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดหกเดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัด จำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที โดยยึดที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ ๑๓๔๖๓ ตำบลบางพูน อำเภอเมืองปทุมธานีจังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักร รวม ๑๓ เครื่อง ที่จำนองไว้กับโจทก์ ขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ จำเลยยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้ตามที่โจทก์ขอ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินต่าง ๆของจำเลยรวม ๓๔ รายการ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน๒๕๒๘
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าขายลดเช็คพร้อมดอกเบี้ยถึงวันยื่นคำร้องแก่ผู้ร้องเป็นจำนวน ๔,๘๖๗,๑๔๙ บาท จำเลยได้นำเครื่องจักรตามบัญชีทรัพย์ที่ยึดลำดับที่ ๑๑ ถึง ๓๔ยกเว้นลำดับที่ ๓๓ ของจำเลยมาจำนำไว้กับผู้ร้องเพื่อประกันหนี้ดังกล่าวในวงเงินไม่เกิน๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท และได้ส่งมอบเครื่องจักรดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องแล้ว แต่จำเลยได้เช่าเครื่องจักรดังกล่าวจากผู้ร้องไปใช้งานต่อไป โดยที่ผู้ร้องยังไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลย และผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนำทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์นำยึดไว้ จึงขอให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนำดังกล่าวจำนวน ๔,๘๖๗,๑๔๙ บาท มิให้ถูกบังคับชำระหนี้แก่เจ้าหนี้อื่น
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องกับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันสัญญาจำนำทรัพย์สินระหว่างจำเลยกับผู้ร้องเป็นการฉ้อฉลเพื่อป้องกันมิให้โจทก์หรือเจ้าหนี้อื่นมีโอกาสบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลย ทั้งผู้ร้องได้ยินยอมให้ทรัพย์ที่จำนำกลับไปสู่การครอบครองของจำเลยแล้ว สัญญาจำนำจึงไม่สมบูรณ์ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า สัญญาจำนำระหว่างจำเลยกับผู้ร้องเป็นนิติกรรมที่ทำขึ้นเพื่อฉ้อฉลเจ้าหนี้อื่น ๆ ไม่มีผลบังคับ ให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า สัญญาจำนำระหว่างจำเลยกับผู้ร้องเป็นนิติกรรมที่ทำขึ้นเพื่อฉ้อฉลเจ้าหนี้อื่น ๆ ไม่มีผลบังคับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทางไต่สวนได้ความว่า เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๒๕ จำเลยจำนำเครื่องจักรตามบัญชีทรัพย์ที่ยึดลำดับที่ ๑๑ ถึง ๓๔ ยกเว้นลำดับที่ ๓๓ ไว้กับผู้ร้อง แล้วผู้ร้องให้จำเลยเช่าเครื่องจักรดังกล่าวกลับคืนไปใช้ในการผลิตสินค้าของจำเลย ต่อมาวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน๒๕๒๘ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยรวมทั้งเครื่องจักรดังกล่าวเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยยังมิได้ชำระให้แก่โจทก์ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๘๗ หรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่า การที่ผู้ร้องยอมให้จำเลยครอบครองทรัพย์สินของจำเลยที่จำนำไว้กับผู้ร้องโดยอาศัยสิทธิการเช่า ไม่ทำให้การจำนำระงับสิ้นไป ผู้ร้องจึงชอบที่จะมีสิทธิขอกันส่วนของผู้ร้องได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนำให้จำเลยเช่าเครื่องจักรอันเป็นทรัพย์สินจำนำ ย่อมเป็นการยอมให้ทรัพย์สินจำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของผู้จำนำตามความหมายของบทบัญญัติ มาตรา ๗๖๙(๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิจำนำของผู้ร้องจึงระงับสิ้นไปตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวผู้ร้องมิใช่เจ้าหนี้ผู้รับจำนำที่จะร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗ ได้
พิพากษายืน.