แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้จะมีข้อกฎหมายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นสาระ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ไม่รับฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาส่วนที่เกี่ยวกับสำนวนแรกที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีตรงข้ามกับพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และฎีกาในเรื่องอำนาจฟ้องนั้น เป็นปัญหา ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อม ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ส่วนสำนวนหลังคดีมีจำนวนทุนทรัพย์ ไม่ต้องห้ามฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกนางสาวอุไรวรรณวัฒนานันท์ เป็นโจทก์ และเรียกนางเฉลียว ภู่สาร เป็นจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางเฉลียว ภู่สารจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 69121ตำบล(แขวง) สองห้อง อำเภอ (เขต) บางเขน กรุงเทพมหานครพร้อมกับชำระค่าขาดประโยชน์ให้แก่นางอุไรวรรณวัฒนานันท์โจทก์ เดือนละ 500 บาท นับจากวันที่ 20 ตุลาคม 2534 เป็นต้นไป จนกว่านางเฉลียว ภู่สาร จำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาทส่วนคดีแพ่งหมายเลขคดีดำที่ 8639/2535 ให้ยกฟ้อง นางเฉลียว ภู่สาร โจทก์ในคดีดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกอุทธรณ์จำเลยในสำนวนแรก จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 84) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 85)
คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า โจทก์ได้บอกเลิก สัญญากับจำเลยแล้วจำเลยฎีกาว่า ทางพิจารณายังฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลย จึงเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นฎีกาข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ