แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า คำร้องนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยทั้งสามฎีกาศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสามฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นคดีฟ้อง ขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะ ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสาม จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ฉบับแรก เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2536 และศาลฎีกาได้มี คำสั่งให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม เสีย และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาทคำนวณ ค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามชำระให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน แล้วจึงมีคำสั่งฎีกาของจำเลยทั้งสามใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ต่อไป
ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาทแล้ว มีราคา1,200 บาทและมีคำสั่งว่า ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าที่ดินพิพาทนี้มีราคา 1,200 บาท และเกี่ยวกับฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 1 มิถุนายน 2536 นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาที่ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยนั้น เป็นการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยต่อสู้ โต้แย้งในเรื่องกรรมสิทธิ์ โจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่าง คดีมีทุนทรัพย์ การที่โจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความ สงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้า เป็นคู่ความ แทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านเลขที่ 34,35 ส่วนที่รุกล้ำและออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 14040 และ 14041 ตำบลโพนางดำออก(โพนางดำ)อำเภอสรรพยา(อินทร์บุรี)จังหวัดชัยนาท (สิงห์บุรี) ของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินปีละ 500 บาทนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินดังกล่าว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของ
จำเลยทั้งสาม (อันดับ 168)
จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา(ฉบับแรก) และศาลฎีกามีคำสั่งว่า ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกาของ จำเลยทั้งสามเสียและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการ ตีราคาที่ดินพิพาทคำนวณ ค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามชำระให้ ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน แล้วจึงมี คำสั่งฎีกาของจำเลยทั้งสามใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 ต่อไป(คำสั่งคำร้องที่ 1606/36)(อันดับ 170,184)
ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาทแล้วมีคำสั่งว่าศาล พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าที่ดินพิพาทนี้มีราคา 1,200 บาทและเกี่ยวกับฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 1 มิถุนายน 2536 นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม (อันดับ 193)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 199)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามที่ว่า จำเลยทั้งสามครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วนั้น เป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ การที่โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสียค่าขึ้นศาล อย่างคดีมีทุนทรัพย์ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จำเลยทั้งสามมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสามชอบแล้ว ยกคำร้อง