แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีมีทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อ มุ่งไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง มีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาล จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาในปัญหาว่าจะต้องรับผิดต่อโจทก์ หรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 138,917.55 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่า จะชำระให้โจทก์ครบถ้วน แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยเมื่อคิดถึงวันฟ้อง (22 กรกฎาคม 2534) จะต้องไม่เกิน 5,823.14 บาท ตามที่โจทก์ขอมา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 113) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 116,117)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท กันใน ชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้รับตราส่งยังไม่ได้ รับมอบสินค้า สินค้าเสียหายคิดเป็นเงิน 138,917.55 บาทจำเลยฎีกาว่า ผู้รับตราส่งได้รับมอบสินค้าแล้ว สินค้าเสียหายน้อยกว่าจำนวนดังกล่าว ดังนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้าม ฎีกาตามกฎหมายมาตราดังกล่าว ส่วนที่จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายว่า โจทก์หรือตัวแทนโจทก์ต้องแจ้งถึงความเสียหายให้จำเลยทราบ ภายใน 8 วัน นับแต่วันส่งมอบสินค้านั้น เป็นข้อกฎหมายที่ ไม่เป็นสาระ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ