แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พันตำรวจเอกป.ได้ยกที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของตนให้โจทก์และโจทก์ได้เข้าครอบครองปลูกบ้านในที่พิพาทตลอดมาเกิน10ปีแล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์พันตำรวจเอกป.ได้คัดค้านแม้ขณะนั้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็ถือว่าโจทก์อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนและมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่พันตำรวจเอกป.ได้ยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่1และที่2เฉพาะส่วนที่พิพาทอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบได้ คำสั่งตัดพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่28กรกฎาคม2535และนัดฟังคำพิพากษาวันที่31สิงหาคม2535จำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้แต่ก็หาได้ทำไม่จำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 127 ตำบลตลาดยอด(วัดชนะสงคราม) อำเภอพระนคร (ในพระนคร) จังหวัดกรุงเทพมหานครบางส่วนเนื้อที่ประมาณ 32 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ พันตำรวจเอกประสงค์ เวียนระวี ซึ่งมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ยื่นคำคัดค้าน ต่อมาศาลแพ่งมีคำพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน แต่พันตำรวจเอกประสงค์ได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนยกที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 โดยเสน่หา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2530 ซึ่งอยู่ในระหว่าง พิจารณาคดีของศาลแพ่งทำให้โจทก์ซึ่งอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนยกให้ซึ่งที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง เพื่อให้กลับคืนมาเป็นกองทรัพย์มรดกของพันตำรวจเอกประสงค์ให้จำเลยทั้งแปดในฐานะทายาทโดยธรรมของพันตำรวจเอกประสงค์ร่วมกันโอนที่ดินเฉพาะส่วนตัวดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์อยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของพันตำรวจเอกประสงค์ เหวียนระวี จึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ ผลของคำพิพากษาศาลแพ่งในคดีที่โจทก์กับพันตำรวจเอกประสงค์เป็นคู่ความไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 กับพวกพันตำรวจเอกประสงค์ได้ยกที่พิพาททั้งแปลงให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 โดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายก่อนที่จะมีสิทธิตามคำพิพากษา โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่พิพาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนยกให้โดยเสน่หาในที่ดินโฉนดเลขที 127 ตำบลตลาดยอด(วัดชนะสงคราม) อำเภอพระนคร (ในพระนคร) จังหวัดกรุงเทพมหานครเฉพาะส่วนตามที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์เนื้อที่ประมาณ 32 ตารางวา ระหว่างพันตำรวจเอกประสงค์เหวียนระวี กับจำเลยที่ 1 และที 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อแรกว่า แม้โจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แต่พันตำรวจเอกประสงค์ เหวียนระวี เจ้าของที่พิพาทได้คัดค้านการครอบครองของโจทก์ และได้ยกที่พิพาททั้งแปลงให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2ก่อนศาลแพ่งมีคำพิพากษา โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพันตำรวจเอกประสงค์ได้ยกที่พิพาทให้โจทก์ตั้งแต่เดือนธันวาคม2513 โจทก์ได้เข้าครอบครองปลูกบ้านในที่พิพาทตลอดมาเกิน10 ปีแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ พันตำรวจเอกประสงค์ได้คัดค้าน แม้ขณะนั้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง ก็ถือว่าโจทก์อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อน และมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวเฉพาะส่วนที่พิพาทอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบได้
ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อต่อไปที่ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตัดพยานไม่ให้จำเลยที่ 1 นำพยานเข้าสืบ เป็นการไม่ชอบนั้นเห็นว่า คำสั่งตัดพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2535 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 31 สิงหาคม 2535 จำเลยที่ 1 มีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้ แต่ก็หาได้ทำไม่ จำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน