แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของ ช.เมื่อ ช.ตาย จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก บุคคลภายนอกเคยทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทในราคา 60 ล้านบาท ต่อมาร่วมกับโจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายในราคา 28 ล้านบาท ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทต่อโจทก์หรือไม่การที่ผู้ร้องขอร้องสอดเข้ามาในคดีเพียงอ้างเหตุว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงว่าถ้าโจทก์ชนะคดีนี้ จะแบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินพิพาทให้ ซึ่งไม่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นในคดีนี้และไม่เกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งคดีนี้ผู้ร้องจึงไม่อาจเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)(2)(3)ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา และไม่อาจขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้งดการทำคำพิพากษาตามยอมตามสัญญาประนีประนอมยอมความชั้นฎีการะหว่างโจทก์กับจำเลยได้
ย่อยาว
ความว่า จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมฎีกา เนื่องจากผู้ร้องเคยเป็นทนายความของโจทก์ในคดีนี้ โดยมีสัญญาตกลงเรื่องผลประโยชน์กันไว้ว่า ถ้าผู้ร้องว่าความให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ตกลงแบ่งเงินที่ได้จากการขายที่พิพาทในคดีนี้ให้ผู้ร้อง ดังนั้นเมื่อโจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทด้วย และการที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยร่วมในคดีนี้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามสัญญาในการแบ่งผลประโยชน์ในที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ผู้ร้องจึงขอร้องสอดเข้ามาในคดีนี้เพื่อให้ได้รับการรับรองคุ้มครองสิทธิหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) และการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้จะทำให้สภาพบังคับในคดีที่ผู้ร้องฟ้องโจทก์ในคดีนี้ให้ปฏิบัติตามสัญญาแบ่งผลประโยชน์จะต้องเสียไปโปรดงดการพิพากษาตามยอมไว้ก่อน โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ จำเลยทั้งสอง และจำเลยร่วมยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายสินชัย ทองอยู่ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 18783 ถึง 18850 และโฉนดเลขที่18853 ถึง 18918 และเลขที่ 441 แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบังกรุงเทพมหานคร รวม 135 โฉนด เนื้อที่ 60 ไร่ 1 งาน 79 ตารางวาให้แก่โจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยทั้งสองจำนวน 27,800,000 บาทในวันที่จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทำสัญญาซื้อขายให้โจทก์กับจำเลยทั้งสองออกใช้เท่ากันทั้งสองฝ่ายหากฝ่ายจำเลยไม่ยอมออก ให้โจทก์ออกใช้ไปก่อนแล้วคิดหักเอาจากราคาที่ดินที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองได้ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมฎีกา (อันดับ 169)
ศาลฎีกาทำคำพิพากษาแล้ว คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาโจทก์ จำเลยทั้งสอง และจำเลยร่วมแถลงร่วมกันว่าคดีตกลงกันได้แล้วตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้เสนอต่อศาลขอให้ศาลโปรดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำเนาไปศาลฎีกาเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป (อันดับ 236, 245)
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 246)
คำสั่ง
วันที่ 3 เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2538
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.1จำเลยที่ 1 ให้การว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายชุ่ม ทองอยู่เมื่อนายชุ่มตาย จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก บุคคลภายนอกเคยทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทในราคา 60 ล้านบาท ต่อมาร่วมกับโจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.1ในราคา 28 ล้านบาท ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทต่อโจทก์หรือไม่ การที่ผู้ร้องขอร้องสอดเข้ามาในคดีเพียงอ้างเหตุว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงว่าถ้าโจทก์ชนะคดีนี้ จะแบ่งส่วนเปอร์เซ็นต์จากเงินที่ได้จากการขายที่ดินพิพาท ซึ่งไม่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นในคดีนี้และไม่เกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งคดีนี้ แต่อย่างไรผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงไม่อาจเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1)(2)(3) ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาและไม่อาจขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้งดการทำคำพิพากษาตามยอมตามสัญญาประนีประนอมยอมความชั้นฎีการะหว่างโจทก์กับจำเลยได้ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ