แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับฎีกาโจทก์ โจทก์เห็นว่า คดีนี้ไม่ต้องห้ามฎีกาอย่างที่ศาลชั้นต้นอ้าง ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยทั้งสองได้รับสำเนา คำร้องแล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177,83 ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่า คำฟ้องโจทก์ มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าการเบิกความเท็จของจำเลยทั้งสอง เป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร และการเบิกความในคดีอาญาดังกล่าว ศาลชั้นต้นเชื่อฟังคำเบิกความของจำเลยทั้งสองและพิพากษา ลงโทษโจทก์ ดังนั้นคำฟ้องของโจทก์จึงไม่พอฟังว่าคำเบิกความ ของจำเลยทั้งสองนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอันควรมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ศาลจึงไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้อง และฟังได้ว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลที่จะรับไว้พิจารณาได้ จึงมี คำสั่งให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 34) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 35)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีซึ่ง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์เห็นได้ว่าเป็น การห้ามฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง