แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับฎีกา
โจทก์ทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเข้าองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงและโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และมาตรา 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 117)
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 118)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงคดีต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 ที่แก้ไขแล้ว ประกอบด้วยพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดพ.ศ. 2520 มาตรา 3 โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยปกปิดความจริง โจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยและยกอุทธรณ์โจทก์จึงชอบแล้ว โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวอีกหาได้ไม่ ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้อง