แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะมิใช่กฎหมายที่ให้มีผิดย้อนหลังเป็นการลงโทษบุคคลในทางอาญาหรือลงโทษบุคคลหนักขึ้นกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลากระทำผิด
บุคคลผู้มีสัญญาชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักร์ แต่บิดาเป็นคนต่างด้าวนั้น เมื่อสมัครใจรับใบสำรัญประจำตัวคนต่างด้าวย่อมขาดสัญชาติไทยตามพ.ร.บ.สัญชาติ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2496 ม.5 ไม่ว่าจะขอรับใบสำคัญก่อนหรือหลังวันใช้พระราชบัญญัตินี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายม้วนง่วนคนสัญชาติจีนและนางแอ๋มคนสัญญาชาติไทยเกิดที่ตำบลในเวียงอำเภอเมือง จังหวัดน่าน เป็นคนไทยตามกฎหมายทั้งโดยทางสัญญาชาติและโดยทางดินแดน อายุ ๕ ปีโจทก์ไปประเทศจีนกลับมาได้ไปขึ้นทะเบียนเป็นคนต่างด้าวโดยความเข้าใจผิด บัดนี้โจทก์ปรารถนาจะได้สิทธิและหน้าที่เช่นคนไทยทั้งหลาย จึงยื่นคำร้องต่อกระทรวงมหาดไทยกระทรวงหมาดไทยพิจารณาแล้วไม่อนุญาต จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นคนมีสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาต พ.ศ.๒๔๙๕
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ได้เกิดในประเทศไทยเกิดที่จังหวัดแต้จิ๋ว ประเทศจีน จึงเป็นคนสัญชาติจีน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์เกิดที่ตำบลในเวียงอำเภอเมือง จังหวัดน่านจริง แต่เมื่อโจทก์รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วก็ขาดจากสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๕ ซึ่งได้เพิ่มมาตรา ๑๖ หวิแห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๔๙๕ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา เป็นปัญหาสองประการคือ ๑. พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๖ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ ๒. พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ.๒๔๙๖ จะใช้บังคับคดีนี้ได้หรือไม่ ?
ปัญหาข้อแรกศาลฎีกาเห็นว่า ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะมิใช่กฎหมายที่ให้มีผลย้อนหลักเป็นการลงโทษบุคคลในทางอาญา หรือลงโทษบุคคลหนักขึ้นกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลากระทำผิด ส่วนในปัญหาข้อที่ ๒ นั้นแม้โจทก์จะได้สัญชาติไทยโดยการเกิดก็ดี และโจทก์สมัครใจขอรับใบสำคัญประจำตัวเป็นคนต่างด้าวโจทก์ก็ขาดจากสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ.๒๔๙๖ มาตรา ๕ ซึ่งเพิ่มเติมมาตรา ๑๖ พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๔๙๕ ให้เป็นมาตรา ๑๖ ทวิพระราชบัญญัตินี้บัญญัติให้ใช้บังคับได้ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวก่อนหรือหลังวันใช้พระราชบัญญัตินี้ พิพากษายืน