คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่า โจทก์สมรสกับจำเลยในขณะโจทก์ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของชายอื่นอยู่ จดทะเบียนสมรสกันตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง จำเลยสมรสกับโจทก์โดยสำคัญผิด หลงเชื่อโดยสุจริตตามคำบอกกล่าวของโจทก์ว่าโจทก์ได้หย่าขาดจากชายอื่นแล้วและไม่ได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่า ข้อความตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไม่เป็นความจริงเพราะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยความยินยอมและสมัครใจมิใช่เนื่องจากกลฉ้อฉลหรือสำคัญผิดแต่อย่างใด โจทก์ไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงข้อที่ว่าโจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่ในขณะสมรสกับจำเลยและไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องแท้จริงของสำเนาทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง ประกอบกับตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งในข้อสุดท้ายของโจทก์ที่ว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีตั้งแต่ต้น หากการสมรสไม่ชอบ ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อเช่นนี้ เท่ากับโจทก์ยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ทำการสมรสกับจำเลยในขณะที่โจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการชี้สองสถานและการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้สมรสอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกัน ก่อนสมรสโจทก์ประกอบอาชีพมีรายได้ หลังสมรสจำเลยขอให้โจทก์ออกจากงาน จำเลยอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ๔๐,๐๐๐ บาท ภายหลังจำเลยได้จงใจละทิ้งร้างโจทก์แล้วไม่ได้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์อีกเลย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๒๗ ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๗ รวม ๕ เดือนเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูประจำเดือนให้โจทก์เป็นเงินเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาทนับแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๒๗ เป็นต้นไปทุกเดือน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยจำเลยสำคัญผิดหลงเชื่อตามคำบอกกล่าวของโจทก์ว่าโจทก์ได้หย่าขาดกับสามีเดิมของโจทก์ โจทก์ไม่ได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่ในขณะนั้น ซึ่งความจริงแล้วในขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไมเคิล คนสัญชาติอังกฤษโดยได้จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามแบบที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอังกฤษ ดังปรากฏตามสำเนาทะเบียนสมรสรับรองโดยสำนักทะเบียนกลางประเทศอังกฤษพร้อมคำแปล เอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งหมายเลข ๑ และจำเลยยังคงเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไมเคิลตลอดมาจนบัดนี้ การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นโมฆะ จำเลยไม่ได้ละทิ้งโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายประจำเดือนจากจำเลยเนื่องจากการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะข อให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เป็นความจริง ปราศจากหลักฐานรับฟังไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยความยินยอมและสมัครใจ มิใช่เนื่องจากกลฉ้อฉลหรือสำคัญผิดโจทก์ไม่เคยตกลงยินยอมหรือสมัครใจที่จะแยกกันอยู่กับจำเลย จำเลยเป็นฝ่ายละทิ้งร้างโจทก์ไป ที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะนั้น หากโจทก์สมรสกับจำเลยในขณะที่โจทก์มีคู่สมรสอื่นอยู่จริง จำเลยก็ไม่มีอำนาจขอให้ศาลมีคำพิพากษาเช่นนี้ทั้งนี้ เพราะจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงวันจดทะเบียนสมรส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำเลยเป็นผู้โน้มน้าวให้โจทก์ยอมสมรสกับจำเลยต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อจำเลยจึงถูกกฎหมายปิดปากจำเลยใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์คำฟ้องคำให้การและฟ้องแย้ง และคำให้การแก้ฟ้องแย้งแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้แล้วโดยไม่ต้องสืบพยาน จึงให้งดชี้สองสถานงดสืบพยานโจทก์จำเลย และพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่า การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๙๖ เพราะเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา ๑๔๕๒ เนื่องจากโจทก์ทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้วหรือไม่นั้นในปัญหาดังกล่าวโจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ให้การปฏิเสธแก้ฟ้องแย้งของจำเลยไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า ข้ออ้างของจำเลยตามฟ้องแย้งข้อ ๒.๑ ถึง ๒.๒ ไม่เป็นความจริงเห็นว่าตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในข้อ ๒.๑ และ ๒.๒ จำเลยปฏิเสธฟ้องของโจทก์โดยอ้างว่าในขณะสมรสโจทก์ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไมเคิลจดทะเบียนสมรสกันตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนสมรสรับรองโดยสำนักทะเบียนกลางประเทศอังกฤษ พร้อมคำแปล เอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งหมายเลข ๑ จำเลยสมรสกับโจทก์โดยสำคัญผิด หลงเชื่อโดยสุจริตตามคำบอกกล่าวของโจทก์ว่าโจทก์ได้หย่าขาดกับนายไมเคิลแล้วและไม่ได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นในขณะนั้น จำเลยจึงตกลงเข้าทำการสมรสกับโจทก์ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยความยินยอมและสมัครใจ มิใช่เนื่องจากกลฉ้อฉลหรือสำคัญผิดแต่อย่างใด โจทก์ไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงข้อที่ว่า โจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นในขณะที่สมรสกับจำเลย และไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องแท้จริงของสำเนาทะเบียนสมรสเอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไว้เลย ประกอบกับตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งในข้อสุดท้ายของโจทก์ที่ว่า โจทก์ขอให้การตัดฟ้องแย้งของจำเลยว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงวันจดทะเบียนสมรส และเป็นผู้โน้มน้าวให้โจทก์ยอมสมรสกับจำเลย หากการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายจริงก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อ จำเลยถูกกฎหมายปิดปาก การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เช่นนี้เห็นได้ว่า ตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์โจทก์ยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ทำการสมรสกับจำเลยในขณะที่โจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น จึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นแห่งคดีที่พิพาทกันในข้ออื่นต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการชี้สองสถานและการสืบพยานโจทก์จำเลยชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ ยกฟ้องของโจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share