แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตหรือไม่ เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอ้าง อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อความที่จำเลยเขียนพาดพิงถึงโจทก์นั้นเป็นการกระทำความผิดฐานโฆษณาหมิ่นประมาทโจทก์แล้ว ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วส่วนข้อความที่จำเลยโฆษณาหมิ่นประมาทโจทก์ในเรื่องส่วนตัวนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 330 วรรคสอง ห้ามมิให้พิสูจน์ข้อเท็จจริงฎีกาโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 95)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,332(1)(2),91 ฯลฯ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าฟ้องโจทก์มีมูล จึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 91)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังว่า การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมไม่เป็นความผิด จึงเป็นการยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการใส่ความโจทก์ในเรื่องส่วนตัวมิใช่แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ย่อมมีความผิด จึงเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมา ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้อง