แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ส่วนข้อที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คดีไม่อยู่ในอำนาจ ศาลเยาวชนและครอบครัวเป็นข้อกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว โดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อาจยกขึ้นอ้างในฎีกา จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลไป
จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การหมั้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ไม่มีของหมั้น จึงไม่เป็นการหมั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 และฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นเรื่องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ต้องคืนสินสอดแก่โจทก์เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายลักษณะพยาน และรับฟังพยานขัดกับพยานในสำนวนนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 คืนเงินสินสอด40,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะคืนเงินเสร็จ ให้จำเลยที่ 3 คืนแหวนทองคำ หนัก 1 สลึง ของหมั้นแก่โจทก์ หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 63)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 64)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามที่โต้แย้งว่า อุทธรณ์ ของจำเลยทั้งสามไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ให้รับฎีกาของ จำเลยทั้งสามไว้ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป