แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ที่จำเลยอ้างว่าเป็นฎีกาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่าจำเลยฎีกาว่า นายประวิทย์ เจ้าหน้าที่อำเภอมิได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟัง และโต้เถียงดุลยพินิจของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 5 หมื่น จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นรับฟังพยานเอกสารหมาย จ.1 ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 15,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 59)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยศาลชั้นต้นสั่งว่า ผู้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาไม่ได้วางเงินหรือหาประกัน ให้ส่งสำนวนไปศาลฎีกา (อันดับ 60)
คำสั่ง
จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย