แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์ก็ยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 180,264,265,268,83,86
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 39)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 40)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมจำเลยที่ 2 ซึ่งลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาดังกล่าวและจำเลยที่ 1 ซึ่งมีชื่อในสัญญาค้ำประกันการเช่าไม่มีความผิดเป็นการยกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นการที่โจทก์ฎีกาว่า สัญญาเช่าดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม จึงเป็นการโต้เถียงในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง