แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357,59,83,84,91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 87)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 89)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยนอกฟ้องนั้น เห็นว่า คดีข้อหาฐานรับของโจร ในคดีนี้ต้องปรากฏว่าจำเลยได้ซื้อทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงหรือยักยอกฉะนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่านางสุคนธ์ได้ฉ้อโกงหรือยักยอกทรัพย์โจทก์หรือไม่จึงเป็นประเด็นแห่งคดีการที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่านางสุคนธ์ขัมพานนท์ไม่ได้ฉ้อโกงหรือยักยอกทรัพย์โจทก์จึงมิใช่การวินิจฉัยนอกฟ้องแต่อย่างใด ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาโจทก์ที่ว่าข้อเท็จจริงพอที่มีมูลความผิดแล้วก็ดี ที่โต้แย้งการใช้ดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานก็ดีและที่ว่าจำเลยที่ 1 ได้ที่ดินมาโดยไม่สุจริตก็ดี ล้วนแต่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้อง