แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นการฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่าฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า มีการประนีประนอมยอมความก่อนโจทก์ฟ้อง คดีน่าจะระงับ จำเลยจึงได้รับประโยชน์การคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 และฎีกาของจำเลยไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291,390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 40,157,162 ลงโทษตามมาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 13 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 14 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่อ้างเหตุขอให้รอการลงโทษเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ส่วนฎีกาจำเลยที่ว่า ผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายแล้วไม่ติดใจเอาโทษ เป็นการประนีประนอมยอมความคดีอาญาน่าจะระงับนั้น หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ทั้งเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง