แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 และฎีกาของโจทก์ล้วนเป็นข้อเท็จจริง จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีโจทก์มีมูลความผิดทางอาญาโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,86,343 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 47
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ไม่มีมูลเป็นความผิดทางอาญา พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 102)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 104)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยมีมูลความผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,86 และ 343 แล้วนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ในประการต่อมาว่า การโฆษณาของจำเลยเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ไม่ตรงกับฎีกาของโจทก์ซึ่งโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์ซื้อทรัพย์ตามคำโฆษณาชี้ชวนของจำเลย ไม่ใช่ซื้อทรัพย์ตามสัญญาสั่งจองดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ในประการหลังไม่ปรากฏในฎีกาของโจทก์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้อง