คำสั่งคำร้องที่ 176/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาจำเลยในข้อ 2.1 และ 2.4 ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย ส่วนฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า มีการฉ้อฉลในการทำสัญญาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกัน และข้อ 2.3 ที่ว่าโจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องโดยชอบหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3 ของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกัน พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (7 มิถุนายน 2533)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องแย้ง ของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 115 แผ่นที่ 1)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่าสัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโทประพงษ์ ระวิวรรณ หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นการประกันตัวนายสุวัฒไชย วงศ์สนม แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวนายดำรงค์หรือปิงบุญจงรักษ์ หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 ที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจ ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และข้อ 2.3ดังกล่าวจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

Share