แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218,219 ส่วนข้อ 2.2และ 2.3 เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่คู่ความมิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวกันในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนทั้งเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีด้วย จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ในคดีอาญาการที่จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์และยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ขึ้นกล่าวอ้างในชั้นสืบพยานถือได้ว่า จำเลยได้ยกข้อต่อสู้เป็นประเด็นไว้ในการพิจารณาของศาลชั้นต้นแล้วและฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นสาระสำคัญแก่คดีด้วยโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 150)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 152)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา 2 ข้อสำหรับข้อแรกในปัญหาว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายนั้น เห็นว่าเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยศาลล่างทั้งสองซึ่งฟังว่า จำเลยได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่โจทก์ส่วน ข้อ 2 ในข้อที่ว่าศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษแก่จำเลยหนักเกินไปนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจึงชอบแล้ว ให้ยกอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย