แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ในคำฟ้องโจทก์จะบรรยายการกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง และฐานพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนนั้นไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะเป็นวันเวลาเดียวกันก็ตาม แต่การกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวสามารถแยกต่างหากจากกันได้ จึงมิใช่ความผิดกรรมเดียวแต่เป็นความผิดสองกรรม
จำเลยกระทำความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ทั้งอาวุธปืนที่จำเลยพกพาไปก็ยังเป็นอาวุธปืนชนิดทำเองและไม่มีหมายเลขทะเบียนประจำอาวุธปืนอีกด้วย แม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน กับได้ให้การรับสารภาพมาโดยตลอด และหากจะฟังตามข้ออ้างของจำเลยว่าจำเลยเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อยได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจนได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการพัฒนาหมู่บ้าน กรรมการวัด และผู้สื่อข่าวสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กับต้องมีภาระเลี้ยงดูครอบครัว ถ้าจำเลยถูกจำคุก ครอบครัวของจำเลยจะได้รับความลำบากเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง ก็ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษให้จำเลย.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนพกสั้น ขนาด .22 ชนิดประกอบขึ้นเอง ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ จำนวน 1กระบอก และมีเครื่องกระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 6 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยได้พาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยเปิดเผย ไม่มีเหตุสมควร โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เรียงกระทงลงโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองจำคุก 1 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน รวมลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยมีผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องระบุวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุรวมกันมาในข้อเดียวกัน มิได้แยกรายละเอียดว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนในครอบครองเกิดเหตุที่ไหน วันเวลาใด และความผิดฐานพกพาอาวุธปืนเกิดเหตุที่ไหน วันเวลาใด ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมและตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าเป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดต่างกรรมต่างวาระกัน แต่เป็นการฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็เรียงกระทงลงโทษจำเลยไม่ได้ ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือไม่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่าในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็ยกขึ้นฎีกาได้ พิเคราะห์แล้ว เกี่ยวกับเวลาและสถานที่เกิดเหตุคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องไว้ว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2531 เวลากลางวันจำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือข้อ (ก) จำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองฯลฯ กับข้อ (ข) จำเลยได้พาอาวุธปืนที่จำเลยมีไว้เป็นความผิดดังกล่าวในฟ้อง ข้อ (ก) ติดตัวไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะฯลฯ เหตุในฟ้องข้อ (ก) และ (ข) เกิดที่ตำบลบุสูง กิ่งอำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวโจทก์ระบุเวลาเกิดเหตุคลุมถึงการกระทำตามฟ้องข้อ (ก) และ (ข)แล้ว ส่วนสถานที่เกิดเหตุโจทก์ก็ระบุไว้ชัดแจ้งว่า การกระทำของจำเลยเกิดที่ตำบล อำเภอ จังหวัดใด ถือได้ว่าเป็นการบรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวกับสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบุรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) แล้ว ส่วนปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันนั้นศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในคำฟ้องโจทก์จะบรรยายการกระทำของจำเลยเป็นวันเวลาเดียวกันก็ตามแต่การมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง และการพาอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนนั้นไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะเป็นการกระทำที่แยกต่างหากจากกันได้ การกระทำของจำเลยเกี่ยวกับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนตามฟ้องจึงมิใช่ความผิดกรรมเดียว แต่เป็นความผิดสองกรรม ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ขอให้ลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษไว้นั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งอาวุธปืนซึ่งจำเลยพกพาไปก็ยังเป็นอาวุธปืนชนิดทำเอง และไม่มีหมายเลขทะเบียนประจำอาวุธปืนอีกด้วย แม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน กับได้ให้การรับสารภาพมาโดยตลอด และถึงหากจะฟังตามข้ออ้างของจำเลยว่า จำเลยเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อยได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจนได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการพัฒนาหมู่บ้านกรรมการวัด และผู้สื่อข่าวสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กับต้องมีภาระเลี้ยงดูครอบครัว ถ้าจำเลยถูกจำคุกครอบครัวของจำเลยจะได้รับความลำบากเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง ก็ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจของศาลล่างทั้งสองซึ่งได้พิพากษาต้องกัน ไม่รอการลงโทษให้จำเลย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.