แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาโดยอ้างว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่จะถูกฟ้องเป็นจำเลยมิให้ถูกศาลพิพากษาจำคุก แม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะได้เรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหานอกบริเวณศาล และตัวผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะมิได้เข้าไปในบริเวณศาลเลยก็ตาม แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ก็ได้ใช้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เข้าไปในบริเวณศาลเพื่อติดต่อกับผู้พิพากษาเพื่อประโยชน์ในการเรียกและรับเงินของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาอันเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองเกินปริมาณโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจังหวัดกำแพงเพชรพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด ๓ เดือน ในวันนั้นเองนางคำใหม่ พานะมัย ผู้กล่าวหาได้แจ้งต่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกำแพงเพชร โดยกล่าวหาว่านายคะแนนวรปรีชาพันธุ์ และนายสงเคราะห์ พลโคตร ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองร่วมกันเรียกและรับเงินจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท ไปจากนางคำใหม่ อ้างว่าไปวิ่งเต้นต่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกำแพงเพชร เพื่อมิให้จำเลยต้องรับโทษจำคุก แต่เมื่อจำเลยถูกศาลจังหวัดกำแพงเพชรพิพากษาจำคุกจึงรู้ว่าถูกหลอก ศาลจังหวัดกำแพงเพชรจึงสั่งไต่สวน
ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ได้เรียกและรับเงินจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท จากผู้กล่าวหาโดยอ้างว่านำไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเมื่อช่วยมิให้จำเลยถูกจำคุกจริง สำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ไม่ปรากฎว่าได้ร่วมกับผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ เพียงแต่ถูกผู้กล่าวหาที่ ๑ ใช้เป็นเครื่องมือเข้ามาในบริเวณศาลผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ จึงมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑(๑) ประกอบด้วยมาตรา ๓๓ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ จำคุก ๖ เดือนยกข้อกล่าวหาสำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒
ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ได้เรียกและรับเงินสองหมื่นบาทจากผู้กล่าวหาจริงที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ จังหวัดกำแพงเพชร อันเป็นที่ทำงานของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ โดยอ้างว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเพื่อช่วยเหลือนายณรงค์มิให้ถูกจำคุก และในวันที่มีการฟ้องนายณรงค์เป็นจำเลยต่อศาลผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ได้ใช้ให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ไปติดต่อกับผู้พิพากษาที่ศาลว่า หากรอการลงโทษได้ก็ขอให้รอ คดีมีปัญหาตามฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ต่อไปว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวที่ ๑ ดังกล่าว เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑(๑) หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ จะได้เรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหานอกบริเวณศาล และตัวผู้ถูกกล่าวหาที่จะมิได้เข้าไปในบริเวณศาลเลยก็ตาม แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ก็ได้ใช้ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ เข้าไปในบริเวณศาลเพื่อติดต่อกับผู้พิพากษาเพื่อประโยชน์ในการเรียกและรับเงินของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ด้วยซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหา อันเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาถือได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ได้ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลซึ่งเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ฎีกาขอให้รอการลงโทษมานั้นศาลฎีกาเห็นว่า สภาพความผิดที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ได้กระทำมานั้นนับว่าเป็นภัยต่อกระบวนการยุติธรรม จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาทุกข้อของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.