แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะได้ความจากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองก็ตาม ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากการที่จำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงนั้น เพราะในการพิจารณาคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลางยืนยัน และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนดังกล่าวไม่มีหมายเลขทะเบียนตามที่โจทก์ฟ้องจึงลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,288 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิและนับโทษของจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 120/2529ของศาลชั้นต้น จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 120/2529 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควรตามความจำเป็นแห่งพฤติการณ์ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ วรรคสอง จำคุก 6 เดือนข้อหาอื่นให้ยก และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 120/2529 ของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนสั้นไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,72 ให้จำคุกจำเลยอีก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้องของโจทก์หรือไม่โจทก์มีนางสุดา คชสีห์ และนางเตี้ยม น้อยเทพา เป็นประจักษ์พยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าก่อนเกิดเหตุมีการเล่นการพนันไพ่ผสมสิบจำเลยและผู้ตายเล่นอยู่วงเดียวกันจำเลยเล่นเสียเป็นหนี้ผู้ตายอยู่10 บาท ผู้ตายทวงเงินดังกล่าวจากจำเลยเพื่อนำไปซื้อสุรามาดื่มตามที่ตกลงกันไว้ แต่จำเลยไม่ให้จึงเกิดการโต้เถียงแล้วจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 2 นัด เห็นว่า ที่เกิดเหตุเป็นระเบียงบ้านของนายชอบ ซึ่งกำลังเตรียมจัดพิธีแต่งงาน มีไฟฟ้าเปิดอยู่หลายดวงประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองได้มีโอกาสเห็นจำเลยเป็นเวลานานโดยจำเลยกับผู้ตายเล่นไพ่ด้วยกันมาก่อน เมื่อคำนึงถึงว่าพยานโจทก์ดังกล่าวไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยโดยเฉพาะนางเตี้ยมก็รู้จักจำเลยดีเนื่องจากเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เช่นนี้น่าเชื่อว่าประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองได้เห็นเหตุการณ์ดังที่เบิกความจริงนอกจากนี้โจทก์ยังมีนายชอบเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุเบิกความว่าในคืนเกิดเหตุนั้นเองพยานถูกนางเตี้ยมผู้เป็นภรรยาปลุกให้ตื่นและบอกว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตาย กับมีพันตำรวจโทนิตย์พนักงานสอบสวนเบิกความว่าเมื่อเวลา 8.35 นาฬิกา ของวันเกิดเหตุนางสุดาได้มาแจ้งความว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายพยานจึงได้ออกไปทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตาย ทำแผนที่เกิดเหตุและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้ ซึ่งเอกสารที่พันตำรวจโทนิตย์ทำขึ้นในวันเกิดเหตุนั้น ล้วนแต่ระบุว่าจำเลยเป็นคนยิงผู้ตายทั้งสิ้น พยานหลักฐานดังกล่าวจึงเป็นการสนับสนุนคำเบิกความของนางเตี้ยมและนางสุดาประจักษ์พยานโจทก์ที่ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ ให้สามารถรับฟังเป็นความจริงได้โดยปราศจากข้อสงสัยที่จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่ว่า คืนเกิดเหตุจำเลยรับจ้างกรีดยางอยู่ที่สวนยางพาราของนายชุ่ม เภตราใหญ่ นั้น ในชั้นสอบสวนจำเลยกลับให้การว่าคืนเกิดเหตุจำเลยพักอาศัยอยู่ในสวนยางของจำเลยมีนายธวัช กลางนุรักษ์อยู่รู้เห็น ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ที่จำเลยฎีกาว่าการที่นางเตี้ยมเบิกความตอบโจทก์ว่านายสมคิดซึ่งเป็นคนร้ายจะใช่จำเลยในคดีนี้หรือไม่ พยานไม่แน่ใจ และว่านางสุดาไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน แต่กลับบอกชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายกับนายชอบได้ คำของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองจึงยังเป็นที่สงสัยนั้น เห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของนางเตี้ยมตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งนางเตี้ยมเบิกความรับรองเอกสารดังกล่าวนั้น นางเตี้ยมได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าคนร้ายคือนายสมคิด กลางนุรักษ์ เหตุที่นางเตี้ยมมาเบิกความว่าคนร้ายคือนายสมคิด แต่ไม่ยืนยันว่าจำเลยนี้น่าจะเนื่องมาจากทั้งจำเลยและนางเตี้ยมต่างเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันเสียมากกว่าส่วนนางสุดาที่สามารถทราบชื่อจำเลยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัยเพราะจำเลยเป็นคนในหมู่บ้านที่เกิดเหตุ นางสุดาสามารถสอบถามชื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ยิงสามีของตนจากผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุได้คำของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยดังจำเลยอ้างที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายนั้น จึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาตนั้น ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่เห็นว่าแม้จะได้ความจากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองก็ตาม ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากการที่จำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงนั้น เพราะในการพิจารณาคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลางยืนยัน และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนดังกล่าวไม่มีหมายเลขทะเบียนตามที่โจทก์ฟ้อง จึงลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น และที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทความผิดของจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ โดยมิได้ระบุวรรคนั้น เห็นสมควรระบุวรรคเสียให้ชัดแจ้งด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ให้ยกฟ้องความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”