แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องของโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ในประเด็นที่ว่าศาลล่างทั้งสองฟัง ข้อเท็จจริงจากเอกสารหมาย ล.1 ที่จำเลยอ้างส่งต่อศาลแล้วศาล พิพากษายกฟ้องโจทก์ เป็นคำสั่ง ที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเอกสาร หมาย ล.1 ที่จำเลย อ้างนั้นไม่มีลายมือชื่อของเจ้าอาวาสวัดศาลาครืนเอกสารดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับแก่พระภิกษุและสามเณร ในวัด เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับกับความสงบเรียบร้อย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 46)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,83 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 23,45 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,391
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้วเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 42)
ทนายโจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องโจทก์เห็นได้ว่าเป็นการห้าม ฏีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง