คำสั่งคำร้องที่ 1532/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 8 และที่ 9 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 8 และที่ 9 ได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลจังหวัดชัยภูมิที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 8 และที่ 9 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ จึงไม่รับฎีกา
จำเลยที่ 1 ที่ 8 และที่ 9 เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งในเนื้อหาของอุทธรณ์จึงเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198,198 ทวิ โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 8 และที่ 9 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 5 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 7 มีความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 4,43,105,135 วรรคแรก,148, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 หลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษความผิดฐานร่วมกันทำเหมืองแร่โดยไม่ได้รับประทานบัตรชั่วคราวจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 9,000 บาท ความผิดฐานร่วมกันมีแร่ไว้ในครอบครองเกินกว่า 2 กิโลกรัม ปรับคนละ 30 บาท จำเลยที่ 8,จำเลยที่ 9 มีความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 4,43,105,135,148, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,86 ความผิดตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 5,8,12,43,44หลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษ ความผิดฐานร่วมกันสนับสนุนทำเหมืองแร่โดยไม่ได้รับประทานบัตรชั่วคราวจำคุกคนละ 8 เดือนปรับคนละ 6,000 บาท ความผิดฐานร่วมกันมีแร่ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับคนละ 30 บาท ความผิดฐานร่วมกันตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับคนละ 30,000 บาท ความผิดฐานร่วมกันประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับคนละ 30,000 บาท จำเลยที่ 1ถึงจำเลยที่ 7 จำคุกรวมคนละ 1 ปี ปรับคนละ 9,030 บาท จำเลยที่ 8และจำเลยที่ 9 จำคุกรวมคนละ 8 เดือน ปรับคนละ 66,030 บาทคำเบิกความชั้นพิจารณาของจำเลยทั้งเก้าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสาม จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 คงจำคุกรวมคนละ 8 เดือนปรับคนละ 6,020 บาท จำเลยที่ 8 และจำเลยที่ 9 ให้จำคุกคนละ 5 เดือน10 วัน ปรับคนละ 44,020 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งเก้าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกเห็นสมควรรอไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ฯลฯนายสุชาติเพียรสถาพร ทนายจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 10 วัน นับแต่วันที่ 29มิถุนายน 2530 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 อุทธรณ์ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2530ศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลอ่านคำพิพากษาในวันที่ 15 มิถุนายน 2530ครบกำหนดอุทธรณ์ในวันที่ 30 มิถุนายน 2530 ทนายจำเลยที่ 4,5,6ยื่นคำร้องลงวันที่ 23 มิถุนายน 2530 ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เป็นเวลา 10 วัน นับแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2530 เป็นต้นไป
จำเลยที่ 4,5,6 จึงยื่นอุทธรณ์ในวันนี้ได้รับอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 4,5,6 ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยนอกนั้น
จำเลยที่ 1 ที่ 8 และที่ 9 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์สั่งว่าคดีนี้นายสุชาติเพียรสถาพร ทนายความมีความประสงค์ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์แทนจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 เท่านั้น หาได้ประสงค์จะทำแทนจำเลยอื่นด้วยไม่ จึงมีผลเฉพาะจำเลยที่ขอ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 8 และที่ 9 ชอบแล้ว ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 8 และที่ 9 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 1)
จำเลยที่ 1 ที่ 8 และที่ 9 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 3)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 8 และที่ 9 เนื่องจากมิได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดและมิได้ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ ให้ยกคำร้อง

Share