คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3902/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายทำร้าย จ.ซึ่งเป็นพวกของจำเลยทั้งสองก่อนเกิดเหตุ 3-4 วัน แต่เจ้าพนักงานไกล่เกลี่ยให้ผู้เสียหายชดใช้ค่าเสียหายแก่ จ.แล้วในวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายขับขี่รถจักรยานยนต์ไปตามถนน พบจำเลยที่ 1 ยืนอยู่ตรงหัวโค้งข้างถนน ขับรถต่อไปอีก 10 เมตรเห็นจำเลยที่ 2 กับ จ.ยืนถืออาวุธปืนลูกซองยาวคนละกระบอก จ้องเล็งและยิงมาที่ผู้เสียหายถูกที่ขา ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองและ จ. รู้ล่วงหน้าว่าผู้เสียหายจะผ่านมาจึงมาดักรออยู่เพื่อจะฆ่าหากแต่เป็นการพบกันโดยบังเอิญ จำเลยทั้งสองและ จ.มิได้ซุ่มซ่อนตัวแต่ประการใดจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองและ จ.ร่วมกันยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันยิงพยายามฆ่านายเอมและนางยุพิน วิจิตรจินดา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๐, ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓, ๘๐ ลดรับสารภาพชั้นจับกุมลงหนึ่งในสี่แล้ว คงจำคุกจำเลยคนละ ๙ ปี
โจทก์อุทธรณ์ว่าเป็นการพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุนายเอมและนางยุพิน วิจิตรจินดา ผู้เสียหายทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากัน ขับรถจักรยานยนต์กลับจากตลาดนัดละงูไปตามถนนสายละงู – ทุ่งหว้า มุ่งหน้ากลับบ้านเมื่อขับมาได้ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร ถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้งและเป็นเวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกา เห็นจำเลยที่ ๑ ยืนอยู่ตรงหัวโค้งข้างถนนด้านซ้ายมือ พอขับรถต่อไปอีกประมาณ ๑๐ เมตร เห็นจำเลยที่ ๒ กับนายจิตรยืนอยู่ข้างถนนด้านเดียวกับจำเลยที่ ๑ ทั้งสองคนถืออาวุธปืนลูกซองยาวคนละกระบอกได้จ้องเล็งและยิงมาที่ผู้เสียหายทั้งสอง กระสุนปืนถูกนางยุพินที่ขาข้างซ้ายและไปถูกล้อหน้ารถด้านหน้าทำให้รถเสียหลักล้มลง จากนั้นก็ไม่เห็นจำเลยและนายจิตรอีกไม่ทราบว่าหลบหนีไปไหน ก่อนเกิดเหตุ ๓ – ๔ วัน นายเอมผู้เสียหายกับนายจิตรมีปากเสียงกันเรื่องหนี้สินที่นายจิตรติดค้างนายเอม นายจิตรว่านายเอมหน้าเลือดนายเอมจึงใช้เก้าอี้ตีทำร้ายร่างกายนายจิตร นายจิตรกับจำเลยทั้งสองเป็นพวกเดียวกัน แต่สาเหตุดังกล่าวระงับไปแล้วโดยกำนันและเจ้าพนักงานตำรวจไกล่เกลี่ยให้นายเอมชดใช้ค่าเสียหายให้นายจิตร ได้ความดังนี้ เห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่ทำให้เห็นว่านายจิตรและจำเลยทั้งสองรู้ล่วงหน้าว่าผู้เสียหายทั้งสองจะเดินทางผ่านที่เกิดเหตุในขณะเกิดเหตุนั้น จึงได้พากันมารอดักซุ่มอยู่เพื่อจะฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง แต่พฤติการณ์กลับบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองและนายจิตรพบผู้เสียหายทั้งสองโดยบังเอิญ เพราะหากเป็นการดักซุ่มยิงผู้เสียหายทั้งสองตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็น่าจะต้องให้สัญญาณอย่างหนึ่งอย่างใดแก่จำเลยที่ ๒ และนายจิตรเพื่อให้จำเลยที่ ๒ และนายจิตรยิงผู้เสียหายทั้งสองทั้งนี้เพราะผู้เสียหายทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ผ่านจำเลยที่ ๑ ก่อน แล้วต่อมาจึงผ่านจำเลยที่ ๒ และนายจิตร แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้ให้สัญญาณหรือร้องบอกให้จำเลยที่ ๒ และนายจิตรยิงผู้เสียหายเลย นอกจากนี้ลักษณะการปรากฏตัวของจำเลยทั้งสองและนายจิตรก็แสดงว่าบุคคลทั้งสามนี้ยืนอยู่ริมถนนโดยเปิดเผยมิได้ดักซุ่มซ่อนตัวแต่ประการใด คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองและนายจิตรดักซุ่มยิงผู้เสียหายทั้งสอง
พิพากษายืน.

Share