แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางสั่งว่า เป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องขยายระยะเวลาการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมเป็นคำสั่งที่เด็ดขาด เพราะหากโจทก์ไม่วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมต่อศาลตามกำหนด คดีนี้ก็เสร็จเด็ดขาดจะดำเนินคดีต่อไปไม่ได้ ทั้งคดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวกับภาษีอากรโดยตรง จึงต้องใช้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาวินิจฉัย การที่ศาลชั้นต้นนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 มาวินิจฉัยเป็นการไม่ถูกต้อง โปรดกลับคำสั่งศาลชั้นต้นโดยมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 27 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนแบบแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.11) เงินเพิ่ม เบี้ยปรับ ของจำเลยทั้งสี่ และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ให้โจทก์รับผิดชำระภาษีเป็นเงิน 798,033.60 บาท และหากโจทก์จะต้องเสียภาษีก็ต้องเสียจากยอดเงิน 356,000 บาทเท่านั้น หากจำเลยทั้งสี่หรือคนใดคนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลภาษีอากรกลางงดการไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งว่า คดีของโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง ให้ยกคำร้องของโจทก์ หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้โจทก์นำค่าธรรมเนียมมาเสียภายในวันที่ 27ตุลาคม 2529
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมออกไปจนถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2529 ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2529(อันดับ 22)
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 23)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 25 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
คำสั่งที่ให้ขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียม มิได้ทำให้การพิจารณาเสร็จไปจากศาลชั้นต้น จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ให้ยกคำร้อง