แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยและจำเลยร่วมให้การว่า เมื่อโจทก์มาพูดขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท จำเลยและบริวารไม่ยอมออกอ้างว่า บ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลย และให้การตัดฟ้องโจทก์ว่า โจทก์มิได้ฟ้องคดีซึ่งมีการแย่งการครอบครองภายใน 1 ปี จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองตามกฎหมายดังนี้ถือได้ว่าจำเลยต่อสู้ว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวต่อโจทก์แล้ว จึงเป็นประเด็นโดยตรงในคดีที่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
เมื่อโจทก์บอกจำเลยว่าได้ซื้อบ้านและที่ดินพิพาทไว้แล้ว ให้จำเลยกับบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาท จำเลยไม่ยอมออกโดยบอกโจทก์ว่าไม่มีที่จะไป แล้วจำเลยคงอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทต่อมา คำพูดของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นการบอกกล่าวว่าไม่เจตนาจะยึดถือบ้านและที่ดินรายพิพาทแทนโจทก์ต่อไป อันเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 การที่จำเลยอาศัยอยู่ต่อมาเป็นการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ โจทก์จึงไม่จำต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนด 1 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์พร้อมบ้าน ๑ หลัง ให้แก่นางส่งศรี แสงโสภิต มีกำหนด ๒ ปี ครบกำหนดแล้วจำเลยมิได้ไถ่ถอนการขายฝาก ต่อมานางส่งศรีขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยได้ขออาศัยอยู่ในบ้านของโจทก์ต่อไป โจทก์ประสงค์จะเข้าอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าว จึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านของโจทก์หลายครั้งแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งของออกไปจากบ้านของโจทก์และห้ามเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า ได้ขายฝากบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่นางส่งศรี แสงโสภิตจริง แต่สัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน ซึ่งมิได้ทำเป็นหนังสือ จำเลยมิได้ส่งมอบที่ดินและบ้านให้นางส่งศรีคงครอบครองมาโดยความสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนได้สิทธิครอบครองแล้ว ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ นางส่งศรีประกาศขายบ้านและที่ดินให้โจทก์ จำเลยมอบให้นางกิมม่วย ทัศศิริไปคัดค้าน ต่อมานางกิมม่วยถอนคำโต้แย้งโดยมิได้รับมอบอำนาจจากจำเลย เมื่อเดือน ๕ ปี ๒๕๒๔ โจทก์พูดขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาทอ้างว่าซื้อจากนางส่งศรีแล้วแต่จำเลยและบริวารไม่ยอมออกอ้างว่าบ้านและที่ดินเป็นของจำเลย จำเลยไม่ได้พูดขออาศัยกับโจทก์ เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๕ นางสาวฮวย สนจิต บุตรจำเลยได้ปลูกบ้านลงในที่ดินพิพาท ๑ หลังคือ บ้านเลขที่ ๘/๓ ซึ่งโจทก์ทราบดีและมิได้โต้แย้ง โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองบ้านและที่ดินพิพาท โจทก์มิได้ฟ้องคดีซึ่งมีการแย่งการครอบครองภายใน ๑ ปี จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
นางสาวฮวย สนจิต ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง การขายฝากที่ดิน ระหว่างนางส่งศรีและจำเลยสมบูรณ์ตามกฎหมาย จำเลยไม่ไถ่ถอนบ้านและที่ดินตามกำหนด นางส่งศรีมีสิทธิโอนขายให้โจทก์ บ้านเลขที่ ๘ และ ๘/๓ เป็นหลังเดียวกัน จำเลยแสดงเจตนาเปลี่ยนการครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทจากการครอบครองแทนโจทก์มาเป็นการครอบครองเพื่อตน เป็นการแย่งการครอบครองที่ดินและบ้านพิพาท โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน ๑ ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครอง คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำให้การของจำเลยและจำเลยร่วมไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ จึงไม่มีทางที่จะอ้างสิทธิตามมาตรา ๑๓๗๕ ได้ ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้แสดงกริยาโต้แย้งแย่งการครอบครองโดยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยืดถือ เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยและจำเลยร่วมต่อสู้ไว้ในคำให้การ พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจาที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยและจำเลยร่วมให้การตอนหนึ่งว่า เมื่อโจทก์มาพูดขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท จำเลยและบริวารไม่ยอมออกอ้างว่าบ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลย และให้การตัดฟ้องโจทก์ว่าโจทก์มิได้ฟ้องคดีซึ่งมีการแย่งการครอบครองภายใน ๑ ปี จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย ดังนี้ถือได้ว่า จำเลยต่อสู้ว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวต่อโจทก์แล้ว จึงเป็นประเด็นโดยตรงในคดีที่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ที่จำเลยเบิกความว่า เมื่อขายบ้านและที่ดินให้แก่นางส่งศรีแล้ว นางส่งศรีบอกให้อยู่ไปเถอะ เมื่อประมาณ ๒ ปีมานี้โจทก์มาบอกว่าเขาได้ซื้อไว้แล้ว ให้จำเลยกับพวกออกไป จำเลยไม่ยอมออกไปเพราะไม่มีที่จะไป จำเลยร่วมอยู่ร่วมกับจำเลยในบ้านและที่ดินรายพิพาท ดังนี้ คำพูดของจำเลยดังกล่าว มิใช่เป็นการบอกกล่าวว่าไม่เจตนาจะยึดถือบ้านและที่ดินรายพิพาทแทนโจทก์ต่อไป อันเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึด ถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ การที่จำเลยอาศัยอยู่ต่อมาเป็นการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ โจทก์จึงไม่จำต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนด ๑ ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕
พิพากษายืน