คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4764/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการละเมิดเป็นการฟ้องคดีที่ไม่เกี่ยวด้วยทรัพย์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(2) ระบุว่าให้ฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นก็ได้
โจทก์ฟ้องบริษัทจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรี โดยระบุสถานที่โรงงานของจำเลยที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรีเป็นภูมิลำเนา แม้ศาลจังหวัดชลบุรีจะมิใช่ศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น และปรากฏตามทะเบียนว่าสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานครทั้งสถานที่โรงงานมิใช่ภูมิลำเนาเฉพาะการของจำเลยก็ตาม แต่ที่นั้นก็อาจเป็นถิ่นที่จำเลยมีสาขาสำนักงานอันจะจัดได้ว่าเป็นภูมิลำเนาในส่วนกิจการอันทำ ณ ที่นั้นด้วยก็ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 71 วรรคสอง ซึ่งหากที่ตั้งโรงงานของจำเลยใช้เป็นสาขาสำนักงานของจำเลยด้วยดังที่โจทก์อ้างโจทก์ก็ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรีได้ จึงสมควรฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรีว่า จำเลยใช้ให้ลูกจ้างของจำเลยเผาซากสับปะรดแห้งในไร่ของจำเลยซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดระยองโดยประมาทเป็นเหตุให้ไฟไหม้ต้นมะพร้าว ต้นอ้อย และต้นมันสำปะหลังของโจทก์ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับไร่ของจำเลยเสียหายเป็นเงิน ๖๑,๖๗๐ บาท เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๖๑,๖๗๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยโจทก์ระบุในคำฟ้องว่าจำเลยอยู่บ้านเลขที่ ๒๑๘ หมู่ ๔ตำบลหนองอีรุณ อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี
จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยใช้ให้ลูกจ้างของจำเลยจุดไฟเผาใบและต้นสับปะรดในไร่ของจำเลย ค่าเสียหายของโจทก์หากมีก็ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดชลบุรี เพราะจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร ภูมิลำเนาที่โจทก์ระบุในฟ้องเป็นที่ตั้งโรงงานผลิตอาหารกระป๋องของจำเลย แต่มิใช่เป็นภูมิลำเนาของจำเลย และมูลคดีเกิดที่จังหวัดระยอง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔ ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าภูมิลำเนาของจำเลยอยู่กรุงเทพมหานครตั้งมูลคดีเกิดขึ้นที่จังหวัดระยอง อยู่นอกเขตอำนาจของศาลจังหวัดชลบุรีจะพิจารณาพิพากษาได้ ให้จำหน่ายคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้ววินิจฉัยชี้ขาดไปตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการละเมิด เป็นการฟ้องคดีที่ไม่เกี่ยวด้วยทรัพย์ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔(๒) ระบุว่าให้ฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นก็ได้ แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ ปรากฏว่าศาลจังหวัดชลบุรีไม่ใช่ศาลชั้นต้นที่มูลคดีเกิดขึ้น คงมีปัญหาว่าเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์ระบุว่าจำเลยอยู่บ้านเลขที่ ๒๑๔ หมู่ที่ ๔ ถนนอิงแลนด์ (ฉะเชิงเทรา – สัตหีบ) ตำบลหนองอีรุณ อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ซึ่งตามภาพถ่ายหนังสือรับรองนิติบุคคลของจำเลย ซึ่งโจทก์แนบมาท้ายฟ้อง ก็ไม่ปรากฏว่าได้ระบุเอาที่ตั้งที่ทำการหรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการของจำเลยไว้ ดังนั้น สถานที่โรงงานผลิตอาหารกระป๋องของจำเลยที่ตั้งอยู่จังหวัดชลบุรี จึงมิใช่เป็นภูมิลำเนาเฉพาะการของจำลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๑ วรรคแรก แต่ก็อาจเป็นถิ่นที่จำเลยมีสาขาสำนักงานอันจะจัดว่าเป็นภูมิลำเนาในส่วนกิจการอันทำ ณ ที่นั้นด้วยก็ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๑ วรรคสอง เพราะภูมิลำเนาของนิติบุคคลนั้นหาใช่เพียงปรากฏตามทะเบียนว่าเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่เท่านั้นไม่ ดังนั้นหากที่ตั้งโรงงานผลิตอาหารกระป๋องของจำเลยใช้เป็นสาขาสำนักงานของจำเลยด้วยดังที่โจทก์อ้าง โจทก์ก็ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรีได้ จึงสมควรฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป
พิพากษายืน

Share