คำสั่งคำร้องที่ 1253/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ทุนทรัพย์ของจำเลยต้องคิดถึงวันฟ้องซึ่งไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ไม่รับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้ จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ทุนทรัพย์ของจำเลยหากคิดถึงวันฟ้องแล้วเป็นจำนวนเงิน 218,224 บาท ซึ่งจำเลยก็เสียค่าธรรมเนียมในจำนวนดังกล่าวไว้แล้ว จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยเรียกโจทก์ในสำนวนคดีแรกว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และเรียกโจทก์ ในสำนวนคดีหลังว่า โจทก์ที่ 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2จำนวน 172,853 บาท แก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้อง(วันฟ้อง 10 สิงหาคม 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 135)
ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 141)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ สำนวนแรกจำนวน 172,853 บาท แก่โจทก์ในสำนวนหลังจำนวน 15,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (10 สิงหาคม 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยอ้างมาลอย ๆ ว่า ทุนทรัพย์ของจำเลยหากคิดถึงวันฟ้อง เป็นจำนวนเงิน 218,224 บาท โดยมิได้อ้างถึงความเป็นมาอย่างไร ดังนี้ ต้องถือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ในสำนวนแรก มีจำนวน 172,853 บาท ในสำนวนหลังมีจำนวน 15,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขแล้วทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง

Share