คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่า ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากอาคารที่เช่าจำเลยที่ 2 ให้การว่า เดิม ช. สามีจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าจากโจทก์ ต่อมาจำเลยหย่าขาดจาก ช. จำเลยที่ 2 ขอเป็นผู้เช่าจากโจทก์ โจทก์ยินยอม ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้จำเลยที่ 1 เป็นสามีใหม่ จำเลยที่ 2 จึงขอเปลี่ยนชื่อจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยที่ 1 เช่า โจทก์ก็ยินยอมอีกดังนี้ สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยระงับไปด้วยการเปลี่ยนตัวผู้เช่า จำเลยที่ 2 ไม่มีฐานะเป็นผู้เช่าอีกต่อไป คงเป็นบริวารของจำเลยที่ 1 ศาลย่อมงดสืบพยานจำเลยที่ 2 เสียได้
ข้อที่ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้มีเจตนาที่จะให้จำเลยที่ 1เป็นผู้เช่าอย่างแท้จริง ทั้งโจทก์ก็ได้ทราบถึงเจตนาที่แท้จริงระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วยนั้น ไม่มีในคำให้การ จำเลยเพิ่งอ้างมาในฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 จะได้ทำหนังสือให้คำมั่นแก่โจทก์ไว้อย่างไร จำเลยที่ 2 ไม่รับรอง ประเด็นข้อนี้โจทก์ไม่ต้องนำสืบเพราะการที่โจทก์อ้างหนังสือให้คำมั่นของจำเลยที่ 1 มาในฟ้องก็เพื่อฟ้องจำเลยที่ 1 เท่านั้น เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 ออกไปแล้ว โจทก์จึงถอนฟ้องจำเลยที่ 1 เสีย คำให้การของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของจำเลยที่ 2 ในเมื่อจำเลยที่ 2 อยู่ในฐานะบริวารของจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าอาคารสงเคราะห์เลขที่ 127ของโจทก์ มีข้อสัญญาว่า ถ้าผู้เช่าได้มาซึ่งอาคารในจังหวัดพระนครหรือธนบุรี ฯลฯ ให้ถือว่าสัญญาเช่าเป็นอันสิ้นสุดต่อมาจำเลยที่ 1 ได้มาซึ่งอาคารสงเคราะห์เลขที่ 472 จำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาว่ายอมส่งมอบอาคารให้โจทก์ จำเลยที่ 1, 2, 3 ไม่ยอมส่งมอบและออกจากที่เช่าและค้างค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญา ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าที่ค้าง 800 บาท และให้จำเลยที่ 1, 2, 3 ชดใช้ค่าเสียหาย 400 บาท ให้ขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากอาคาร ฯลฯ

ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์คัดสำเนาทะเบียนสำมะโนครัวเสนอต่อศาล โจทก์มิได้จัดการตามคำสั่งศาลสั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 3

จำเลยที่ 2 ให้การว่า เดิมห้องพิพาทสิบเอกไชยรัตน์สามีของจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าจากโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้หย่าขาดจากการสมรสกับสิบเอกไชยรัตน์ จำเลยที่ 2 จึงได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้เช่าจากโจทก์ โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 เช่าอยู่ต่อไป จำเลยที่ 2 ได้สามีใหม่คือพันตรีสุนันท์จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องขอเปลี่ยนชื่อจำเลยที่ 2 ผู้เช่าเป็นจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าจากโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ยินยอม จำเลยที่ 1 จึงได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากการสมรสกันแล้ว จำเลยที่ 2 จึงได้มีหนังสือถึงโจทก์ขอเช่าอาคารสงเคราะห์ห้องเลขที่ดังกล่าวจากโจทก์อีกต่อไป เพราะจำเลยที่ 1 ได้ย้ายออกไปแล้ว โจทก์แจ้งเหตุขัดข้องอ้างว่าผิดระเบียบ แต่จำเลยที่ 2 ถือว่าเคยได้เช่าจากโจทก์มาก่อนแล้ว จำเลยที่ 2 ยังเป็นคู่สัญญากับโจทก์อยู่ มีสิทธิจะอยู่ในห้องพิพาทในฐานะผู้เช่าต่อไป ส่วนค่าเช่าจำเลยที่ 1 ได้นำไปชำระ แต่โจทก์ไม่ยอมรับเอง

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และบริวารออกไปจากอาคารสงเคราะห์เลขที่ 127 ของโจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบห้องดังกล่าวให้โจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 50 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากห้องพิพาท

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยยังมีประเด็นที่จะต้องนำสืบให้ศาลเห็นตามข้อต่อสู้ได้

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้หากศาลชั้นต้นจะดำเนินการสืบพยานได้ความจริงตามคำให้การของจำเลย ก็คงฟังได้แต่เพียงว่าหลังจากที่จำเลยหย่าขาดจากสิบเอกไชยรัตน์สามีคนแรกแล้ว จำเลยได้เป็นผู้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ครั้นจำเลยได้พันตรีสุนันท์เป็นสามีใหม่ จำเลยก็ได้เปลี่ยนให้พันตรีสุนันท์เป็นคู่สัญญาทำสัญญาเช่ากับโจทก์ สัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับโจทก์ย่อมระงับไปด้วยการเปลี่ยนตัวผู้เช่า จำเลยไม่มีฐานะเป็นผู้เช่าอีกต่อไป คงเป็นบริวารของพันตรีสุนันท์อยู่ในห้องพิพาทของโจทก์เท่านั้น ที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้มีเจตนาที่จะให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าอย่างแท้จริงทั้งโจทก์ก็ได้ทราบถึงเจตนาที่แท้จริงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ด้วยนั้น ไม่มีในคำให้การจำเลยเพิ่งอ้างมาในฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เมื่อเป็นดังนี้ พยานของจำเลยจะไม่ช่วยให้คดีของจำเลยฟังเป็นจริงว่าจำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทกับโจทก์ได้เลย

ส่วนฎีกาข้อที่ว่าจำเลยได้ต่อสู้ไว้ว่าจำเลยที่ 1 จะได้ทำหนังสือให้คำมั่นไว้แก่โจทก์อย่างไรจำเลยที่ 2 ไม่รับรอง ซึ่งโจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ความปรากฏจากคำให้การของจำเลยนั้นเองว่าต่อมาจำเลยที่ 1 ขอเช่าซื้ออาคารจากโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ที่คลองจั่นและจับสลากได้เป็นผู้เช่าซื้อทั้งจำเลยที่ 1 ได้ย้ายออกไปจากห้องพิพาทนี้แล้ว ประเด็นข้อนี้โจทก์ไม่จำเป็นต้องสืบ การที่โจทก์อ้างหนังสือให้คำมั่นของจำเลยที่ 1 มาในฟ้องก็เพื่อฟ้องจำเลยที่ 1 เท่านั้น เมื่อได้ความว่า จำเลยที่ 1ได้ย้ายออกไปแล้ว โจทก์จึงได้ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 เสีย คำให้การของจำเลยในข้อนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของจำเลยอย่างใด ในเมื่อจำเลยอยู่ในฐานะเป็นบริวารของจำเลยที่ 1 รูปคดีดังนี้ศาลพิพากษาคดีได้โดยไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์จำเลย

พิพากษายืน

Share