แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ข้อ 2.1 เป็นการอุทธรณ์คัดค้านดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง มิใช่อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย จึงไม่รับคงรับเฉพาะอุทธรณ์ข้อ 2.2 และ 2.3
จำเลยทั้งสองเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อ 2.1 เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า แม้ศาลแรงงานกลางมิได้หยิบยกข้อเท็จจริงในเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 ซึ่งเป็นใบลาออกจากงานของโจทก์ที่ 1 ขึ้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ แต่ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกข้อเท็จจริงนั้นขึ้นวินิจฉัยเพื่อปรับเข้ากับบทกฎหมายได้อีกทั้งคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลแรงงานกลางก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 40)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลรายเดียวกันศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 และเรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้เงินให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จำนวนคนละ 11,674.05 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องคือวันที่ 21 พฤศจิกายน2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว (อันดับ 38)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 40)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยอุทธรณ์ตามข้อ 2.1 สรุปใจความได้ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง แต่โจทก์ทั้งสองลาออกจากงานเองเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้เลิกจ้างโจทก์อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง