คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7983/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอ้างว่ารู้จักกับ บ. ซึ่งสามารถติดต่อฝาก ส. บุตรโจทก์ร่วมเข้ารับราชการตำรวจได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 100,000 บาท โจทก์ร่วมหลงเชื่อและมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้ บ. แล้ว บ. พา ส. ไปพบพันตำรวจโท พ. และมอบเงินที่รับจากโจทก์ร่วมให้พันตำรวจโท พ. โดยไม่ปรากฏว่าพันตำรวจโท พ. มีหน้าที่ในการคัดเลือกหรือบรรจุแต่งตั้งให้บุคคลเข้ารับราชการตำรวจแต่อย่างใด การที่โจทก์ร่วมมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่พันตำรวจโท พ. จึงมิใช่เป็นการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้เจ้าพนักงานกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ถือมิได้ว่าโจทก์ร่วมใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดกฎหมาย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายมีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 341, 83 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 100,000 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1137/2541 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 100,000 บาท แก่โจทก์ร่วม ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1137/2541 ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำพิพากษา จึงยกคำขอ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีนี้หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมและนายสุรสิทธิ์ว่า จำเลยอ้างว่าจำเลยรู้จักนายบัวหอมซึ่งสามารถติดต่อฝากนายสุรสิทธิ์เข้ารับราชราชการตำรวจได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงมอบเงินให้นายบัวหอม นายบัวหอมได้พานายสุรสิทธิ์ไปพบพันตำรวจโทพิบูลย์และมอบเงินจำนวน 100,000 บาท ที่นายบัวหอมรับไปจากโจทก์ร่วมให้พันตำรวจโทพิบูลย์ เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วม จำเลยกับพวกนำเงินจำนวน 100,000 บาท ไปมอบให้พันตำรวจโทพิบูลย์เพื่อให้พันตำรวจโทพิบูลย์ช่วยให้นายสุรสิทธิ์บุตรโจทก์ร่วมเข้ารับราชการตำรวจได้ โดยไม่ปรากฏว่าพันตำรวจโทพิบูลย์มีหน้าที่ในการคัดเลือกหรือบรรจุแต่งตั้งให้บุคคลเข้ารับราชการตำรวจแต่อย่างใด การที่โจทก์ร่วมมอบเงินจำนวน 100,000 บาท ให้แก่พันตำรวจโทพิบูลย์ซึ่งเป็นพวกของจำเลยจึงมิใช่เป็นการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้เจ้าพนักงานกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมใช้ให้ผู้ใดกระทำผิดกฎหมาย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายมีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนี้แก่จำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงได้
คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ เห็นว่า จำเลยรู้จักกับนายบัวหอมมาก่อน จำเลยเป็นฝ่ายชวนบุตรโจทก์ร่วมให้เข้ารับราชการตำรวจโดยบอกว่าจะต้องเสียเงินค่าวิ่งเต้น 100,000 บาท โจทก์ร่วมตกลง จะเห็นได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายชวนบุตรโจทก์ร่วมให้เข้ารับราชการตำรวจไม่ใช่โจทก์ร่วมเป็นฝ่ายขอให้จำเลยฝากบุตรโจทก์ร่วมเข้าทำงานดังที่จำเลยอ้าง จำเลยเห็นโจทก์ร่วมมีบุตรชายจึงสอบถามโจทก์ร่วมว่าประสงค์จะให้บุตรชายโจทก์ร่วมเข้ารับราชการตำรวจหรือไม่ อันเป็นการเริ่มวางแผนหลอกลวงโจทก์ร่วมตามที่ได้รับมอบหมายจากพวกของจำเลย หลังจากโจทก์ร่วมตกลงแล้วจำเลยได้พาโจทก์ร่วมและนายสุรสิทธิ์บุตรชายไปพบนายบัวหอมที่บ้าน นายบัวหอมก็หลอกลวงโจทก์ร่วมอีกว่าสามารถดำเนินการให้นายสุรสิทธิ์เข้าเรียนโรงเรียนตำรวจได้แต่ต้องเสียเงินเป็นค่าวิ่งเต้นจำนวน 100,000 บาท ซึ่งสอดคล้องกับที่จำเลยบอกโจทก์ร่วมว่าจะเข้ารับราชการตำรวจต้องเสียเงิน 100,000 บาท นอกจากจำเลยจะพาโจทก์ร่วมไปที่บ้านนายบัวหอมแล้วฝ่ายจำเลยยังได้จดหลักฐานที่ต้องการใช้เข้าโรงเรียนตำรวจให้โจทก์ร่วมเพื่อใช้เข้าเรียน จำเลยเป็นผู้ชักชวนโจทก์ร่วมและเป็นธุระจัดการให้โจทก์ร่วมพบกับนายบัวหอมมาตลอดทั้งยังจดหลักฐานที่ต้องการให้โจทก์ร่วม หลังจากโจทก์ร่วมมอบเงินให้นายบัวหอมจำนวน 100,000 บาท ที่ท่ารถพิษณุโลกยานยนต์แล้ว จำเลยยังติดตามมาที่ท่ารถสอบถามโจทก์ร่วมว่ามอบเงินให้นายบัวหอมไปแล้วหรือยัง ที่จำเลยอ้างว่าไม่ทราบว่าโจทก์ร่วมมอบเงินจำนวน 100,000 บาท ให้แก่นายบัวหอมจึงไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง หลังจากนายบัวหอมรับเงินจากโจทก์ร่วมไปแล้ว นายบัวหอมและจำเลยก็ไม่อาจฝากบุตรชายโจทก์ร่วมเข้ารับราชการตำรวจได้โดยนายบัวหอมและจำเลยผัดผ่อนเรื่อยมาโดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ เมื่อโจทก์ร่วมให้จำเลยโทรศัพท์ไปหาพันตำรวจโทพิบูลย์ที่กรุงเทพมหานคร จำเลยได้โทรศัพท์ไปหาตามคำขอของโจทก์ร่วม ซึ่งจำเลยบอกโจทก์ร่วมว่าไม่ต้องเป็นห่วงติดต่อเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าจำเลยรู้จักพันตำรวจโทพิบูลย์มาก่อนไม่ใช่ว่าไม่รู้จักดังที่จำเลยอ้าง พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกเป็นการวางแผนกันมาอย่างดี โดยกำหนดหน้าที่ของแต่ละคนเพื่อหลอกลวงเอาเงินจากโจทก์ร่วม โดยหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าจำเลยกับพวกสามารถฝากบุตรของโจทก์ร่วมเข้ารับราชการตำรวจได้แต่ต้องเสียเงินค่าวิ่งเต้นเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท ซึ่งโจทก์ร่วมหลงเชื่อตามคำหลอกลวงของจำเลยกับพวกและได้มอบเงินจำนวน 100,000 บาท ให้จำเลยกับพวกไป ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่ได้รับเงินไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของนายบัวหอมและพันตำรวจโทพิบูลย์นั้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมได้ คดีฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share