แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยออกเช็คผ่อนชำระค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ให้แก่โจทก์รวม 7 งวด งวดละฉบับ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ จำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างโดยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทอีก และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว สัญญาเช่าซื้อย่อมเลิกกันนับแต่นั้นเมื่อเช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยชำระให้แก่โจทก์ก่อนเลิกสัญญากัน ถือได้ว่าเป็นค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้รับชำระไว้แล้วด้วยเช็คแทนเงิน หาใช่ค่าเช่าซื้อที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระและค้างชำระอยู่ไม่ แม้เช็คพิพาทจะรับเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน มูลหนี้ตามเช็คก็ยังไม่ระงับจนกว่าจะได้ใช้เงินตามเช็คนั้นแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดใช้หนี้ตามเช็คพิพาท เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทไปขายลดให้แก่ธนาคาร ธนาคารเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้และโจทก์ได้นำเงินไปชำระให้แก่ธนาคารแล้วรับเช็คคืน โจทก์จึงกลับมาเป็นผู้ทรงมีสิทธิฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ยึดรถแทรกเตอร์คืนไปแล้ว โจทก์จะต้องคืนเช็คให้จำเลย แต่ไม่คืนกลับนำมาฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเดิมจำเลยเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ไปจากโจทก์ ๑ คัน เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๒๖ ในราคา ๔๕๐,๐๐๐ บาท ชำระในวันทำสัญญา ๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด งวดละ ๕๐,๐๐๐ บาท รวม ๗ งวด โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้าให้แก่โจทก์ไว้ เช็คงวดแรกลงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ งวดต่อไปทุกวันที่ ๒๕ ของเดือนถัดไป เมื่อเช็คงวดแรกถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงยึดรถแทรกเตอร์คืน ต่อมาจำเลยนำเงินค่าเช่าซื้องวดแรกกับค่าเสียหายอีก ๒๐,๐๐๐ บาท รวม ๗๐,๐๐๐ บาท ไปชำระให้โจทก์และมีบุคคลอื่นไปทำสัญญาค้ำประกันไว้ โจทก์จึงมอบรถให้จำเลยไป สำหรับเช็คงวดต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ จำเลยเคยนำเงินไปชำระให้โจทก์อีกสองครั้งเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท กับ ๒๐,๐๐๐ บาท และออกเช็คเพื่อชำระหนี้ไว้ คือเช็คพิพาท ๒ ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ ๕๐,๐๐๐ บาท ลงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ และ ๒๕ มีนาคม ๒๕๒๗ ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีเช็คของนายสัมฤทธิ์ เกาะทอง ซึ่งจำเลยนำไปชำระหนี้ให้โจทก์ไว้อีก ๓ ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ ๕๐,๐๐๐ บาท เช่นกัน ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๗ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๒๗ และ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๒๗ ตามลำดับ สำหรับเช็คพิพาททั้งสองฉบับโจทก์นำไปขายลดให้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักพลับพลาไชย เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารกรุงเทพ จำกัด เรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงนำเงินไปชำระให้ธนาคารแล้วรับเช็คคืนมา ต่อมาวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๒๗ โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและจำเลยได้รับไว้แล้ว หลังจากนั้นโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยเรียกให้ชำระหนี้ตามเช็คทั้งสองฉบับ แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเช็คทั้งสองฉบับมาเป็นมูลฟ้องในคดีนี้ ส่วนเช็คอีก ๓ ฉบับโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเช่นกัน
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เดิมจำเลยชำระหนี้ค่าเช่าซื้อด้วยเช็คเป็นงวดแต่รับเงินตามเช็คไม่ได้ สัญญาย่อมเลิกกัน โจทก์จึงได้เข้าครอบครองรถแทรกเตอร์ที่ให้เช่าซื้อ แต่ต่อมาเมื่อจำเลยนำเงินไปชำระหนี้และโจทก์ยอมรับชำระรวมทั้งรับเช็คพิพาททั้งสองฉบับไว้โดยยอมหให้จำเลยรับรถแทรกเตอร์ที่เช่าซื้อคืนไป จึงถือได้ว่าโจทก์จำเลยยังคงตกลงปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อต่อไป โดยโจทก์สละข้อตกลงเลิกสัญญาดังกล่าวแล้ว จนกระทั่งเช็คพิพาททั้งสองฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ได้บอกเลิกสัญญา สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันนับแต่นั้น ดังนั้น เมื่อเช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยชำระให้แก่โจทก์ก่อนเลิกสัญญากัน ถือได้ว่าเป็นค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้รับชำระไว้แล้วด้วยเช็คแทนเงิน หาใช่ค่าเช่าซื้อที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระและค้างชำระอยู่ดังที่จำเลยอ้างไม่ แม้เช็คดังกล่าวจะรับเงินไม่ได้ มูลหนี้ตามเช็คยังคงมีอยู่ไม่ระงับไปจนกว่าจะได้ใช้เงินตามเช็คนั้นแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดใช้หนี้ตามเช็คดังกล่าว ทั้งนี้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ ฉะนั้น เมื่อโจทก์นำเช็คทั้งสองฉบับไปขายลดไว้กับธนาคารและธนาคารเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ โจทก์ได้นำเงินไปชำระให้แก่ธนาคารและรับเช็คคืนมา โจทก์จึงกลับเป็นผู้ทรงมีสิทธิฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คได้
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินตามเช็คสองฉบับจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินถึงวันฟ้องเป็นเงินไม่เกิน ๒๐,๐๒๓.๙๗ บาท และดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันในต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๗,๐๐๐ บาท