แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เดิมโจทก์มีคำสั่งให้ลูกจ้างกะเช้าหยุดรับประทานอาหาร ตั้งแต่เวลา 9.00-10.30 นาฬิกา โดยไม่ได้กำหนดว่าลูกจ้างคนใดจะต้องหยุดรับประทานอาหารในเวลาใด ต่อมาโจทก์ได้กำหนดเวลารับประทานอาหารแก่ลูกจ้างเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 30 นาที และกำหนดให้ ต. รับประทานอาหารเมื่อเวลา 10 นาฬิกา ดังนี้ การกำหนดเวลารับประทานอาหารที่แน่นอนต่อลูกจ้าง โจทก์ได้กำหนดตามเวลาในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม โจทก์ไม่ได้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเวลาใหม่แต่ได้กำหนดเวลาสำหรับลูกจ้างแต่ละคนให้แน่นอนเพื่อเป็นระเบียบในการทำงาน โจทก์ในฐานะนายจ้างซึ่งเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชาย่อมออกคำสั่งให้ลูกจ้างปฏิบัติตามได้ ถือว่าเป็นอำนาจในการบริหารหาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จะต้องมีการแจ้งข้อเรียกร้องตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 13 ไม่ กรณีจะต้องบังคับตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 123 หรือไม่ ไม่ได้พิจารณาเฉพาะคำสั่งหรือข้อบังคับที่ลูกจ้างฝ่าฝืนเท่านั้น แต่จะต้องพิจารณาว่าในสถานประกอบกิจการนั้นได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องใช้บังคับอยู่หรือไม่ด้วย พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41(4) ข้อความตอนท้ายบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร หาได้จำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ 8/2532 ของจำเลยทั้งสิบสี่
จำเลยทั้งสิบสี่ให้การว่า คำสั่งที่ 8/2532 เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสำพันธ์ที่ 8/2532
จำเลยทั้งสิบสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาว่า นางสาวแต๋ว สุขศรีใส ทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์ เป็นพนักงานปั่นด้าย แผนกปั่น 3 ทำงานกะเช้า ตั้งแต่เวลา7.00-15.00 นาฬิกา เดิมโจทก์กำหนดให้พนักงานกะเช้าพักรับประทานอาหารได้ตั้งแต่เวลา 9.00-10.30 นาฬิกา โดยไม่ได้กำหนดให้พนักงานคนใดไปรับประทานอาหารเวลาใดเป็นการแน่นอน เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน2531 โจทก์ได้มอบหมายให้นางเดือน ดวงล้อมจันทร์ หัวหน้าสายแดงแผนกปั่น 3 กำหนดเวลาให้พนักงานในแต่ละกลุ่มไปรับประทานอาหารเป็นเวลาที่แน่นอนกลุ่มละ 30 นาที แล้วได้กำหนดให้นางสาวแต๋วอยู่ในกลุ่มที่ออกไปรับประทานอาหารเวลา 10 นาฬิกา และได้แจ้งให้นางสาวแต๋วทราบในเช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน 2531 แต่นางสาวแต๋วออกไปรับประทานอาหารเมื่อเวลา 9.30 นาฬิกาอันเป็นเวลาก่อนกำหนด ในระหว่างนั้นไม่มีคนคุมเครื่องปั่นด้าย ปรากฏว่ามีด้ายขาดและพันเครื่องต้องหยุดเครื่องปั่นด้ายเพื่อต่อด้ายใหม่ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2531 โจทก์จึงเลิกจ้างนางสาวแต๋วในข้อหาละทิ้งการคุมเครื่องจักรไปรับประทานอาหารก่อนเวลา และไม่มีผู้อื่นมาสับเปลี่ยนคุมเครื่องแทน ทำให้โจทก์เสียหายอย่างร้ายแรงในเรื่องผลผลิต วันที่ 14 ธันวาคม 2531นางสาวแต๋วไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าโจทก์เลิกจ้างเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม โดยอ้างว่าเป็นเพราะนางสาวแต๋วเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน เลิกจ้างในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับและเพราะเป็นผู้แทนสมาชิกสหภาพเข้าเจรจากับนายจ้างตามที่สมาชิกสหภาพแรงงานร้องทุกข์ ต่อมาเมื่อวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2532 จำเลยทั้งสิบสี่ซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งที่ 8/2532 วินิจฉัยว่า โจทก์เลิกจ้างนางสาวแต๋ว สุขศรีใสเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบสี่เป็นเบื้องแรกว่า คำสั่งของโจทก์ที่กำหนดให้นางสาวแต๋วรับประทานอาหารเมื่อเวลา 10 นาฬิกา เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบเพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งจำเลยอุทธรณ์ว่าคำสั่งของโจทก์ที่กำหนดให้ลูกจ้างออกไปรับประทานอาหารเป็นเวลาแน่นอนเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เป็นโทษแก่ลูกจ้าง แต่โจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 13 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นพิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าเดิมโจทก์มีคำสั่งให้ลูกจ้างกะเช้าหยุดรับประทานอาหารตั้งแต่เวลา 9.00-10.30 นาฬิกาโดยไม่ได้กำหนดว่าลูกจ้างคนใดจะต้องหยุดรับประทานอาหารในเวลาใดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2531 โจทก์ได้กำหนดเวลารับประทานอาหารแก่ลูกจ้างเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 30 นาที และกำหนดให้นางสาวแต๋วรับประทานอาหารเมื่อเวลา 10 นาฬิกา เห็นว่าการกำหนดเวลารับประทานอาหารที่แน่นอนต่อลูกจ้าง โจทก์ได้กำหนดตามเวลาในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม โจทก์ไม่ได้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเวลาใหม่ แต่ได้กำหนดเวลาสำหรับลูกจ้างแต่ละคนให้แน่นอนเพื่อเป็นระเบียบในการทำงานโจทก์ในฐานะนายจ้างซึ่งเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชา ย่อมออกคำสั่งให้ลูกจ้างปฏิบัติตามได้ ถือว่าเป็นอำนาจในการบริหาร หาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จะต้องมีการแจ้งข้อเรียกร้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13ไม่ คำสั่งของโจทก์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและมีผลใช้บังคับได้อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสิบสี่ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบสี่มีว่า การเลิกจ้างของโจทก์เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมดาตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 หรือไม่ ข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาได้ความว่า นางสาวแต๋วได้ทราบคำสั่งกำหนดเวลารับประทานอาหารของโจทก์ก่อนแล้วว่าให้ไปรับประทานอาหารเมื่อเวลา 10.00 นาฬิกา นางสาวแต๋วจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ โดยออกไปรับประทานอาหารเมื่อเวลา 9.30 นาฬิกา นางสาวแต๋วจึงมีความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ ส่วนที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า คดีนี้ไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา123 เพราะคำสั่งของโจทก์ที่ให้ลูกจ้างไปรับประทานอาหารเป็นเวลาที่แน่นอน ไม่ใช่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องและมีผลใช้บังคับอยู่นั้น เห็นว่า กรณีจะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 หรือไม่ ไม่ได้พิจารณาเฉพาะคำสั่งหรือข้อบังคับที่ลูกจ้างฝ่าฝืนเท่านั้น แต่จะต้องพิจารณาว่าในสถานประกอบกิจการนั้นได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องใช้บังคับอยู่หรือไม่ ได้ความว่าจำเลยทั้งสิบสี่วินิจฉัยว่าโจทก์ได้เลิกจ้างนางสาวแต๋วในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ และนางสาวแต๋วเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.6 ที่โจทก์อ้างส่งศาลเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับสหภาพแรงงานทรงชัยปั่นทอ ซึ่งสหภาพแรงงานทรงชัยปั่นทอได้ยื่นข้อเรียกร้องเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2531 ข้อตกลงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2531 เป็นต้นไป ไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนี้มีผลใช้บังคับมีกำหนด 1 ปีตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 12 วรรคหนึ่งข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.6 จึงมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 6 เมษายน 2532 โจทก์ได้เลิกจ้างนางสาวแต๋วเมื่อวันที่ 23พฤศจิกายน 2531 จึงอยู่ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับคำสั่งที่ 8/2532 ของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 ยังวินิจฉัยว่านางสาวแต๋วเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานทรงชัยปั่นทอเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2531 และเป็นกรรมการสหภาพแรงงานฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ด้วย จึงฟังได้ว่านางสาวแต๋วเป็นลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องในขณะที่ถูกเลิกจ้าง กรณีจึงต้องด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 ซึ่งบัญญัติห้ามเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่ลูกจ้างกระทำความผิดตาม (1) ถึง (5) เมื่อฟังได้ว่านางสาวแต๋วฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์มีปัญหาว่าการฝ่าวืนเป็นความผิดกรณีร้ายแรงที่โจทก์มีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123(3) หรือไม่ เห็นว่า การที่นางสาวแต๋วละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ตามปกติไม่ถือว่าเป็นกรณีร้ายแรง แต่การละทิ้งหน้าที่ของนางสาวแต๋วนั้นได้ละทิ้งการคุมเครื่องจักรโดยไม่มีผู้อื่นมาคุมเครื่องแทน ได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่าการกระทำของนางสาวแต๋วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายคือ ด้ายขาดแล้วด้ายไปพันลูกหนังและเพลาต้องหยุดเครื่องและแกะเอาด้ายออก ใช้เวลาแก้อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง โจทก์หาได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ได้รับความเสียหายร้ายแรงอย่างไร ความเสียหายตามที่โจทก์นำสืบมาคงฟังได้ว่าเป็นความเสียหายปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการทำงาน การกระทำของนางสาวแต๋วจึงมิใช่ความผิดกรณีร้ายแรง โจทก์ไม่อาจเลิกจ้างได้โดยไม่เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123(3)คำสั่งเลิกจ้างของโจทก์จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยทั้งสิบสี่ซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จึงมีอำนาจสั่งให้โจทก์รับนางสาวแต๋วกลับเข้าทำงานและชดใช้ค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41(4) และบทบัญญัติดังกล่าวหาได้จำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะมาตรา 41(4) ข้อความตอนท้ายบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร คำสั่งที่ 8/2532 ของจำเลยทั้งสิบสี่จึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนได้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ประเด็นนี้ของจำเลยทั้งสิบสี่ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.