แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาจะปรับบทเป็นความผิดลงโทษจำเลยได้หรือไม่ และการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่ผู้เสียหายนั้น เป็นการพิพากษานอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 67)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และมีความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2511 มาตรา 7,27 เป็นความผิดต่างกรรมกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนให้จำคุก 2 ปี ความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางาน ฯลฯ จำคุก1 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 1 เดือน ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 280,500 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 66)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนโดยรับฟังพยานโจทก์บางปากมาลงโทษจำเลย และว่าข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาจะลงโทษจำเลยได้หรือไม่นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่ฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่ผู้เสียหายเป็นการพิพากษา นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนนั้น ก็ไม่ได้นอกเหนือจากข้อเท็จจริงในสำนวนจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกันศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ชอบแล้ว ยกคำร้อง