แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนเนื้อหาในฎีกาจะเป็นข้อกฎหมาย ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกา
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่านิติกรรมเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นข้อที่จำเลยต่อสู้มาแต่แรกจึงเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระค่าขึ้นศาลมา 200 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 31,800 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2527เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้แทน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 136)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 141)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกประเด็นที่ถูกต้องในข้อที่ว่า จำเลยที่ 1 รับเงินที่กู้ยืมจากโจทก์หรือไม่ขึ้นวินิจฉัย เนื่องจากจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่ามิได้รับเงินที่กู้ยืม กัน เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงผิดเพี้ยนจากสำนวน เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยคดีจากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องและได้รับ เงินตามสัญญากู้ไปแล้วดังนี้เป็นการวินิจฉัยคดีตรงตามประเด็นที่จำเลยอ้างแล้ว หาใช่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ส่วนข้อที่ฎีกาว่าศาลควรต้องรับบัญชีระบุพยานของจำเลย แล้วส่งเอกสารหมาย ล.1ไปพิสูจน์ต่อไปนั้น มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วใน ศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง คืนค่าขึ้นศาลโดยหักไว้เป็นค่าคำร้อง 40 บาท