แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗/๒๕๔๗
วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๗
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองนครราชสีมา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสีคิ้ว
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครราชสีมาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน
ข้อเท็จจริงในคดี
นายหล่า เวกสูงเนิน ยื่นฟ้องนายอำเภอสีคิ้ว ต่อศาลปกครองนครราชสีมาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๗๙/๒๕๔๖ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ เนื้อที่ประมาณ ๒๒ ไร่ – งาน ๕๓ ๕/๑๐ ตารางวา โดยซื้อที่ดินดังกล่าวจากนายยอดนางซังเพียซ้าย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เดิมที่ดินแปลงนี้ตั้งอยู่ในเขตหมู่ ๒ ตำบลบ้านหัน อำเภอสีคิ้วจังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันอยู่ในเขตหมู่ที่ ๓ ตำบลหนองบัวน้อย อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา และผู้ฟ้องคดีได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาเป็นเวลา ๔๐ ปีเศษ ไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องหรือโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด แต่เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๖ ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือขอให้อธิบดีกรมที่ดินออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงบ้านหนองกกหรือโคกเรือ โดยแจ้งว่าองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวน้อยประสงค์จะขอรังวัดเพื่อแสดงแนวเขตที่สาธารณประโยชน์เพื่อนำหลักฐานการรังวัดไปประกอบการดำเนินคดีกับผู้ฟ้องคดีในข้อหาบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ โดยมีตัวแทนผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้ชี้แนวเขตที่สาธารณประโยชน์ตามหลักฐานทะเบียนที่สาธารณประโยชน์ เมื่อทำการรังวัดแล้วปรากฏว่า ยังมีที่ดินเหลือจากที่ขึ้นทะเบียนไว้อีกประมาณ ๑๐๐ ไร่เศษ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว ขอให้ช่างรังวัดทำการรังวัดที่ดินในส่วนดังกล่าวเพิ่มเติม แต่การนำชี้รังวัดของตัวแทนผู้ถูกฟ้องคดีในครั้งนี้ ได้นำชี้รังวัดทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งแปลง ผู้ฟ้องคดีจึงได้ทำการคัดค้านการรังวัดดังกล่าวและต่อมาได้ยื่นคำขอคัดค้านการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไปใช้สิทธิทางศาลภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่รับคำขอ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการออกคำสั่งหรือกระทำการโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่และเป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการเลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรมและเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๒๒ ไร่ – งาน ๕๓ ๕/๑๐ ตารางวาเป็นของผู้ฟ้องคดี และให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่สั่งช่างรังวัดทำการรังวัดที่ดินดังกล่าวรวมเข้าในที่สาธารณประโยชน์บ้านหนองกกหรือโคกเรือ หมู่ที่ ๓ ตำบลหนองบัวน้อย อำเภอสีคิ้วจังหวัดนครราชสีมา และห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีเกี่ยวข้องอีกต่อไป อนึ่ง ก่อนฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเคยยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันต่อศาลจังหวัดสีคิ้วแล้ว แต่ศาลจังหวัดสีคิ้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องโดยเห็นว่า โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองออกคำสั่งโดยมิชอบ ทำการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทับที่ของโจทก์ซึ่งได้ครอบครองมากว่า ๔๐ ปี ขอให้เพิกถอนที่ดินของโจทก์จากการรังวัดดังกล่าว จึงเป็นคดีที่พิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองในการออกคำสั่งหรือกระทำการใดโดยไม่ชอบต้องด้วยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลยุติธรรมไม่มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาพิพากษา (คดีหมายเลขดำ ที่ ๔๐๗/๒๕๔๖ หมายเลขแดงที่ ๓๙๘/๒๕๔๖) ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองนครราชสีมาเป็นคดีนี้
ศาลปกครองนครราชสีมาเห็นว่า คดีนี้สามารถแยกข้อหาออกได้เป็น ๒ ข้อหาคือข้อหาที่หนึ่งกล่าวหาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งตามหนังสืออำเภอสีคิ้ว ลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์๒๕๔๖ ถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว แจ้งให้สั่งช่างรังวัดทำการรังวัดเพิ่มเติมส่วนที่ยังเหลือ ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว และข้อหาที่สองกล่าวหาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีโดยตัวแทนนำช่างรังวัดทำการรังวัดรวมเอาที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นที่สาธารณประโยชน์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ฟ้องคดีและห้ามผู้ถูกฟ้องคดียุ่งเกี่ยวอีกต่อไป ซึ่งศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่มีถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาสาขาสีคิ้ว ตามข้อหาที่หนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการรังวัดตามที่ตัวแทนผู้ถูกฟ้องคดีนำชี้แนวเขตตามคำขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงของผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งยังมีที่ดินเหลืออยู่อีกจำเป็นต้องมีการรังวัดเพิ่มเติม ดังนั้น หนังสือที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว จึงเป็นการยื่นคำขอให้ทำการรังวัดที่ดินเพิ่มเติม หาใช่เป็นคำสั่งทางปกครองตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างไม่ จึงไม่มีกรณีพิพาทที่ศาลจะมีคำสั่งให้เพิกถอนตามคำขอข้อกล่าวหาที่หนึ่ง สำหรับข้อหาที่สองเห็นว่า การที่ช่างรังวัดได้ทำการรังวัดตามที่ตัวแทนผู้ถูกฟ้องคดีนำชี้ก็เพื่อจัดทำแผนที่แสดงขอบเขตที่ดินที่จะออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ซึ่งมีความหมายว่า ที่ดินที่ตั้งอยู่ในแผนที่นั้นเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินหาใช่ที่ดินของผู้ฟ้องคดีไม่ ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีคัดค้านการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงจึงเป็นการโต้แย้งว่าที่ดินบริเวณพิพาทเป็นสิทธิของตนหาใช่เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทในเรื่องสิทธิในที่ดิน ซึ่งศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าผู้ฟ้องคดีมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินหรือไม่ อย่างไร จำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๓/๒๕๔๖ คำฟ้องตามข้อกล่าวหาที่สอง จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่จะต้องพิจารณา คือ การพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การคดีนี้สรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีว่า ดำเนินการนำชี้รังวัดที่ดินในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงบ้านหนองกกหรือโคกเรือรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งแปลง ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นกรณีโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือที่สาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลคงมีประเด็นต้องพิจารณาให้ได้ความว่า ที่ดินนี้เป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างคู่กรณี เป็นกรณีพิพาทอันเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน ดังนั้น การพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ระหว่าง นายหล่า เวกสูงเนิน ผู้ฟ้องคดี กับนายอำเภอสีคิ้ว ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ศาลจังหวัดสีคิ้ว
(ลงชื่อ) อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท อัฏฐพร เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(อัฏฐพร เจริญพานิช) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ