คำวินิจฉัยที่ 69/2558

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่เอกชนยื่นฟ้องเอกชนด้วยกันเป็นจำเลยที่ ๑ และหน่วยงานทางปกครองเป็นจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นคดีผู้บริโภค ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงินที่โจทก์นำไปฝากไว้กับจำเลยที่ ๑ และชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด สำหรับคำฟ้องในข้อหาแรกเกี่ยวกับการผิดสัญญาฝากเงินทั้งสองศาลมีความเห็นตรงกันว่า เป็นข้อพิพาททางแพ่งซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมจึงยุติไป คงมีปัญหาเฉพาะในส่วนคำฟ้องข้อหาที่สองเกี่ยวกับค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด เห็นว่า โจทก์ยื่นฟ้องอ้างว่ามีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะผู้บริโภคในการที่จะได้รับข้อมูลตามคำพรรณนา ที่ถูกต้องและเพียงพอในการเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์เกี่ยวกับการดำเนินงานสหกรณ์จำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ถูกละเมิดสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔ และมาตรา ๒๒ อันเกิดจากการกระทำของจำเลยทั้งสี่ที่จงใจปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานที่ผิดพลาดของจำเลยที่ ๑ จึงมิใช่การบรรยายฟ้องโดยอ้างว่า ความเสียหายของโจทก์เกิดจากการที่จำเลยทั้งสี่ใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือออกกฎ ออกคำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือละเลยต่อหน้าที่ตามที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรซึ่งเป็นการละเมิดต่อโจทก์ อันจะมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด ของหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ดังนี้ แม้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อข้อพิพาทตามคำฟ้องไม่มีลักษณะเป็นคดีปกครอง และโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ อย่างลูกหนี้ร่วมในมูลละเมิดเดียวกันและเกี่ยวพันกับข้อหาแรก โดยมีคำขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินคืนหรือค่าเสียหายในจำนวนเดียวกันซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงสมควรให้คำฟ้องในข้อหาที่สองที่ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น ได้รับการพิจารณาพิพากษาโดยศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำฟ้องในข้อหาแรกด้วย คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖๙/๒๕๕๘

วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๘

เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)

ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๗ นางสาวปณดา พฤกษะวัน โจทก์ ยื่นฟ้องสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ที่ ๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๒ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ที่ ๓ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ ๔ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ. ๘๙๑/๒๕๕๗ ความว่า โจทก์เป็นผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมายในการทำสัญญา และมีสิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าและบริการ โดยเมื่อปี ๒๕๕๕ จำเลยที่ ๑ ได้ระบุข้อความโฆษณาเป็นการทั่วไปเชิญชวนให้ประชาชนมาสมัครเป็นสมาชิกและทำสัญญาฝากเงินกับจำเลยที่ ๑ โดยความรู้เห็นและกำกับดูแลของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งขณะนั้นจำเลยทั้งสี่รู้ดีว่าจำเลยที่ ๑ ดำเนินงานไม่เป็นไปตามกฎหมาย และการโฆษณาเชิญชวนให้เป็นสมาชิกและฝากเงินกับจำเลยที่ ๑ นั้น จำเลยที่ ๑ ไม่ได้แจ้งข้อความจริงให้โจทก์ทราบว่า จำเลยที่ ๑ ดำเนินงานสหกรณ์ไม่เป็นไปตามกฎหมาย จึงเป็นการร่วมกันปกปิดข้อความจริง โจทก์หลงเชื่อตามโฆษณาเชิญชวนของจำเลยที่ ๑ สมัครเป็นสมาชิกและทำสัญญาฝากเงินกับจำเลยที่ ๑ โดยเปิดบัญชีเงินฝากกับจำเลยที่ ๑ จำนวน ๒ บัญชี โดยมีทุนเรือนหุ้นสะสมจำนวน ๒,๔๐๐ บาท มียอดเงินฝากตามบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เลขที่ ๖๖๖-๑๑-๐๐๐๗๖๕-๕ จำนวน ๑๕๘.๗๓ บาท มียอดเงินฝากตามบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์พิเศษเลขที่ ๖๖๖-๑๒-๐๐๐๔๒๑-๕ จำนวน ๒,๙๙๗,๓๕๔.๓๒ บาท ต่อมาในปี ๒๕๕๖ โจทก์ขอถอนเงินฝากจากบัญชีของโจทก์ แต่จำเลยที่ ๑ กลับปฏิบัติผิดสัญญา ไม่คืนเงินฝากให้แก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญาและให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายตรวจสอบข้อเท็จจริงจากการที่จำเลยที่ ๑ ไม่คืนเงินฝากให้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการผิดสัญญาฝากเงินกับโจทก์ และการที่จำเลยทั้งสี่รู้มาโดยตลอดว่าจำเลยที่ ๑ ดำเนินงานไม่เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับและระเบียบ มติและคำสั่งของจำเลยทั้งสี่ ร่วมกันจงใจปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้งให้แก่โจทก์รวมถึงประชาชนโดยทั่วไป เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้บริโภคและประชาชนที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารในการดำเนินงานสหกรณ์ที่ถูกต้องและเพียงพอในการเข้าทำสัญญาสมัครเป็นสมาชิกและสัญญาฝากเงินกับจำเลยที่ ๑ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้เงินคืนและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และออมทรัพย์พิเศษรวม ๒,๙๙๗,๕๑๓.๐๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด โจทก์เป็นสมาชิกสามัญและเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ ๑ โดยสมัครใจ จำเลยที่ ๑ ยังไม่อนุญาตให้โจทก์ลาออกจากการเป็นสมาชิกสามัญตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนดไว้ ในข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงยังไม่ผิดนัดชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นเพียงส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลสหกรณ์ในเชิงนโยบายและวางแผนพัฒนาระบบสหกรณ์เท่านั้น และไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการบริหาร การดำเนินกิจการของจำเลยที่ ๑ ทั้งไม่มีกฎหมายกำหนดให้การโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชน เข้าเป็นสมาชิกและทำสัญญาฝากเงินกับจำเลยที่ ๑ ต้องขอความเห็นชอบจากจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้ดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาของจำเลยที่ ๑ ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว การดำเนินการของจำเลยที่ ๑ ที่ผิดระเบียบข้อบังคับจนเกิดปัญหา เกิดจากการกระทำของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์และการบริหารกิจการภายในของจำเลยที่ ๑ การที่โจทก์ไม่ได้รับเงินจากจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ความเสียหายโดยตรงจากการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าได้รับอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสี่ โจทก์ยังคงมีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ ๑ เต็มจำนวนตามสัญญา โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
อนึ่ง จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง และระหว่างพิจารณาคดีนี้ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ ไว้พิจารณาแล้ว จึงงดพิจารณาคดีในส่วนของจำเลยที่ ๑ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๑๒ (๔)
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ รับฝากเงินจากโจทก์แล้ว เมื่อโจทก์ต้องการถอนเงินที่ฝากคืน แต่จำเลยที่ ๑ ไม่คืนเงินฝากให้แก่โจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาฝากเงินจากจำเลยที่ ๑ ที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่ามีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการส่งเสริม สนับสนุน แนะนำ กำกับและดูแลคุ้มครองจำเลยที่ ๑ เท่านั้น เหตุตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเหตุจากการผิดสัญญาฝากทรัพย์โดยตรงของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ได้เป็นผลจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น และไม่ได้เกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ประกอบด้วย ๒ ข้อหา ได้แก่ ข้อหาเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ไม่คืนเงินฝากให้แก่โจทก์อันเป็นการผิดสัญญาฝากเงินและข้อหาเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ที่โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว แต่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งคำฟ้องในส่วนของข้อหาเกี่ยวกับการกระทำของ จำเลยที่ ๑ นั้น เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาฝากเงินจากจำเลยที่ ๑ คู่สัญญา ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนคำฟ้องในข้อหาเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ซึ่งตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๘ กำหนดให้จำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาระบบสหกรณ์ ส่วนกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อ ๒ กำหนดให้จำเลยที่ ๓ มีภารกิจเกี่ยวกับการตรวจสอบบัญชีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร และมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ กำหนดระบบบัญชีและมาตรฐานการสอบบัญชี ให้คำปรึกษาและแนะนำให้ความรู้ด้านการบริหารการเงินและการบัญชีที่ดี และข้อ ๘ (๑) และ (๔) กำหนดให้สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ที่ ๑-๑๐ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัด จำเลยที่ ๓ มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบบัญชีของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้เป็นไปตามกฎหมายข้อบังคับ ระเบียบ และมาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไปและการสอบทานรายงานการสอบบัญชี งบการเงินและกระดาษทำการของผู้สอบบัญชี รวมทั้งวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรตามมาตรฐานที่วางไว้ ส่วนกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๒ (๑) และ (๒) กำหนดให้จำเลยที่ ๔ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริม เผยแพร่ และให้ความรู้เกี่ยวกับอุดมการณ์หลักการและวิธีการสหกรณ์ให้แก่บุคลากรสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และประชาชนทั่วไป การส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และพัฒนาระบบสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง และมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ รวมทั้งส่งเสริม สนับสนุน และดำเนินการตามที่นายทะเบียนสหกรณ์มอบหมาย ในการรับจดทะเบียน ส่งเสริม แนะนำ กำกับ และดูแลสหกรณ์ และโดยที่พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นนายทะเบียนสหกรณ์ และมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้นายทะเบียนสหกรณ์มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) รับจดทะเบียน ส่งเสริม ช่วยเหลือ แนะนำ และกำกับดูแลสหกรณ์ให้เป็นไปตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้และกฎหมายอื่น…(๓) แต่งตั้งผู้สอบบัญชี ผู้ตรวจการสหกรณ์ และผู้ชำระบัญชี (๔) ออกคำสั่งให้มีการตรวจสอบหรือไต่สวนเกี่ยวกับการจัดตั้ง การดำเนินงาน หรือฐานะการเงินของสหกรณ์ (๕) สั่งให้ระงับการดำเนินงานทั้งหมด หรือบางส่วนของสหกรณ์ หรือให้เลิกสหกรณ์ ถ้าเห็นว่าสหกรณ์กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่สหกรณ์หรือสมาชิก…มาตรา ๑๙ บัญญัติให้ผู้ตรวจการสหกรณ์มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบกิจการและฐานะการเงินของสหกรณ์ตามที่นายทะเบียนสหกรณ์กำหนด เมื่อตรวจสอบแล้วให้เสนอรายงานการตรวจสอบต่อนายทะเบียนสหกรณ์ มาตรา ๖๗ บัญญัติให้สหกรณ์จัดทำรายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินงานของสหกรณ์เสนอต่อที่ประชุมใหญ่ในคราวที่เสนองบดุล และให้ส่งสำเนารายงานประจำปีกับงบดุลไปยังนายทะเบียนสหกรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการประชุม มาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้นายทะเบียนสหกรณ์แต่งตั้งผู้สอบบัญชีเพื่อตรวจสอบบัญชีของสหกรณ์ ดังนั้น จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ จึงมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลสหกรณ์ตั้งแต่การจัดตั้งสหกรณ์ การดำเนินงานของสหกรณ์ รวมถึงการตรวจสอบกิจการ การตรวจสอบบัญชี และฐานะการเงินของสหกรณ์ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ว่าด้วยสหกรณ์ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการของสหกรณ์และป้องกันมิให้เกิดความเสียหายหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์ของสหกรณ์หรือสมาชิก การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ด้วย โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงเป็นการฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดต่อโจทก์จากการละเลยต่อหน้าที่ในการกำกับดูแล การดำเนินกิจการของสหกรณ์ให้เป็นไปตามที่มาตรา ๑๖ (๑) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวประกอบกับ ข้อ ๒ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ และข้อ ๒ (๑) และ (๒) ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๔ กำหนดให้ต้องปฏิบัติ อันมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นข้อหาอีกข้อหาหนึ่งแยกออกต่างหากจากข้อหาเกี่ยวกับการผิดสัญญาของจำเลยที่ ๑ และถึงแม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้อง ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่โดยที่สภาพแห่งข้อหาหรือการกระทำของจำเลยที่เป็นการละเมิดต่อโจทก์เป็นการกระทำของจำเลยที่ ๑ กับการกระทำของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ แยกต่างหากจากกันเป็นคนละส่วน คำขอที่ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดจึงไม่ได้มีผลทำให้ข้อหาทั้งสองกลายเป็นเรื่องเดียวกันแต่อย่างใด และมิใช่กรณีที่สมควรให้ได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน คำฟ้องในส่วนที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ต่อศาลแพ่งเป็นคดีผู้บริโภคโดยอ้างมูลเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิรวมสองข้อหา คือ ข้อหาแรก จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาเงินฝากต่อโจทก์ ข้อหาที่สอง จำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำละเมิดโดยปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานของจำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ แล้วยินยอมให้จำเลยที่ ๑ โฆษณาเชิญชวนให้โจทก์และประชาชนทั่วไปเข้าสมัครเป็นสมาชิกของจำเลยที่ ๑ และทำสัญญาฝากเงินกับจำเลยที่ ๑ ต่อมาจำเลยที่ ๑ บริหารงานผิดพลาดไม่อาจคืนเงินฝากให้แก่โจทก์ โจทก์ในฐานะที่เป็นผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญาและมีสิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ การที่จำเลยทั้งสี่จงใจปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วทำให้โจทก์เสียหายจากการสมัครเข้าเป็นสมาชิกและทำสัญญาฝากเงิน กับจำเลยที่ ๑ จำนวน ๒ บัญชี รวมเป็นเงิน ๒,๙๙๗,๕๑๓.๐๕ บาท การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมและเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้บริโภคและประชาชน โดยมีคำขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้เงินคืนและชดใช้ค่าเสียหาย เป็นเงิน ๒,๙๙๗,๕๑๓.๐๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว สำหรับคำฟ้องในข้อหาแรกเกี่ยวกับการผิดสัญญาฝากเงิน ศาลแพ่งและศาลปกครองกลางมีความเห็นตรงกันว่า คำฟ้องในส่วนนี้เป็นข้อพิพาททางแพ่งซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงยุติไปตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒ คงมีปัญหาเฉพาะในส่วนคำฟ้องข้อหาที่สองว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ ” ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ” อันเป็นการจำกัดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรเท่านั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีผู้บริโภคต่อศาลแพ่ง แผนกคดีผู้บริโภค โดยเมื่อพิจารณาเนื้อหาในคำฟ้องแล้ว โจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะผู้บริโภคในการที่จะได้รับข้อมูลตามคำพรรณนาที่ถูกต้องและเพียงพอในการเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์และประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับการดำเนินงานสหกรณ์จำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ถูกละเมิดสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔ ที่บัญญัติว่า ” ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองดังต่อไปนี้ (๑) สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ และมาตรา ๒๒ บัญญัติว่า ” การโฆษณาจะต้องไม่ใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค…” อันเกิดจากการกระทำของจำเลยทั้งสี่ที่จงใจปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานที่ผิดพลาดของจำเลยที่ ๑ จึงมิใช่การบรรยายฟ้องโดยอ้างว่าความเสียหายของโจทก์เกิดจากการที่จำเลยทั้งสี่ใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือออกกฎ ออกคำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือละเลยต่อหน้าที่ตามที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรซึ่งเป็นการละเมิดต่อโจทก์ อันจะมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ทั้งปรากฏตามคำร้องคัดค้านคำร้องขอโต้แย้งเขตอำนาจศาลของโจทก์ก็ยืนยันเจตนาของโจทก์ว่าประสงค์จะฟ้องจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่กระทำละเมิดต่อโจทก์ในฐานะผู้บริโภค อันเนื่องมาจากการที่จำเลยทั้งสี่จงใจปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์และประชาชนในการที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารรวมทั้งการพรรณนาคุณภาพในการดำเนินกิจการสหกรณ์ที่ถูกต้องและเพียงพอจากข้อความโฆษณาของจำเลยที่ ๑ ก่อนเข้าทำสัญญา ดังนี้ แม้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อข้อพิพาทตามคำฟ้องไม่มีลักษณะเป็นคดีปกครองและโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ อย่างลูกหนี้ร่วมในมูลละเมิดเดียวกันและเกี่ยวพันกับข้อหาแรก โดยมีคำขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินคืนหรือชดใช้ค่าเสียหายในจำนวนเดียวกันซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงสมควรให้คำฟ้องในข้อหาที่สองที่ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น ได้รับการพิจารณาพิพากษาโดยศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำฟ้องในข้อหาแรกด้วย คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวปณดา พฤกษะวัน โจทก์ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด ที่ ๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๒ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ที่ ๓ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ ๔ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายจรัญ หัตถกรรม)
รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่หนึ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานศาลปกครองสูงสุด

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share