แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖๔/๒๕๕๕
วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสระบุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๓ นางสายพิณ หริ่งรัตน์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง กรมธนารักษ์ ที่ ๑ ธนารักษ์พื้นที่สระบุรี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๘๘/๒๕๕๓ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินได้รับมรดกมาจากนางเพี้ยน หริ่งรัตน์ มารดาของผู้ฟ้องคดี ตั้งอยู่บริเวณท้ายทางระบายน้ำล้นอ่างเก็บน้ำคลองเพรียว โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ หมู่ที่ ๖ ตำบลตะกุด อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี โดยปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการครอบครองที่ดิน ได้แก่ บันทึกถ้อยคำของนางเพี้ยน หริ่งรัตน์ ที่ได้มีการประทับลายพิมพ์นิ้วมือรับรองแนวเขตที่ดิน
ในฐานะเจ้าของที่ดินข้างเคียงในการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๗๐๙๐ ของนายกอน สวนประเสริฐ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๐๖ แผนที่รังวัดที่ดินเลขที่ ๘๒ หมายเลขประจำแฟ้ม ทด. ๔๑๗-๐๓ รังวัดเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๖ โดยระบุว่าที่ดินข้างเคียงเป็นที่ที่มีการครอบครองของนางเพี้ยน บัญชีรายนามเจ้าของที่ดินที่ได้ทำการรังวัดแบ่งแยกเนื้อที่ที่ดินโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ ที่ปรากฏชื่อนางสายพิณ โรจนนิล (สกุลเดิม หริ่งรัตน์) เป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ ๑๑ ซึ่งได้มีการลงเนื้อที่ที่จะถูกแบ่งแยกไว้ แต่ไม่มีการจัดซื้อเนื่องจากไม่สามารถติดต่อกับเจ้าของได้ แผนที่แสดงแนวเขตที่ดินเพื่อการชลประทานโครงการคลองเพรียว คลองสาย SPILL-WAY เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ จำนวน ๑๐ แปลง และหนังสือขอแสดงเจตนาเข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่มีการครอบครองของผู้ฟ้องคดี ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๘ ต่อมาผู้ฟ้องคดียื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินจังหวัดชัยนาท-ลพบุรี-สุพรรณบุรี-สระบุรี ตามโครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๒ โดยมีหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดินที่ขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินที่เชื่อถือได้พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการรังวัดเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ปรากฏว่า ที่ดินด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ที่ดินเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้ลงนามรับรองแนวเขตที่ดิน ส่วนที่ดินด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก ผู้แทนของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ ลงนามรับรองแนวเขตที่ดิน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งจะต้องรับรองแนวเขตที่ดินร่วมกับโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ มิได้ลงนามรับรองแนวเขตที่ดินดังกล่าว และต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีหนังสือแจ้งผู้อำนวยการศูนย์เดินสำรวจออกโฉนดที่ดินฯ ว่า ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอออกโฉนดที่ดินเป็นที่ราชพัสดุใช้ประโยชน์ในราชการกรมชลประทาน”อ่างเก็บน้ำคลองเพรียว” จึงไม่สามารถลงนามรับรองแนวเขตที่ดินดังกล่าวได้ และต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อหรือจัดหาที่ดินในโครงการอ่างเก็บน้ำคลองเพรียวและการเข้าใช้ทำประโยชน์ในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอออกโฉนดที่ดิน ซึ่งผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ มีหนังสือแจ้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ว่า ไม่ปรากฏหลักฐานการจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดิน ไม่มีหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดิน และโครงการฯ มิได้เข้าครอบครองใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือ ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ลงนามรับรองแนวเขตในการขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งต่อมารองผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีได้มีหนังสือแจ้งผู้ฟ้องคดีว่า ศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินฯ อยู่ระหว่างรอผลการดำเนินการของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สระบุรีเกี่ยวกับการระวังชี้แนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี
ส่วนสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สระบุรีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ พิจารณาว่าสามารถลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินให้กับผู้ฟ้องคดีได้หรือไม่ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ลงนามรับรองแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน สร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น สร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควรและเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เนื่องจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ ได้แจ้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แล้วว่าไม่ปรากฏหลักฐานการจ่ายเงินทดแทน ไม่มีหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดิน และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ มิได้เข้าครอบครองใช้ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอออกโฉนดที่ดิน ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รับรองแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กำหนดและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การโดยสรุปว่า ได้กระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินอยู่ในเขตที่ราชพัสดุใช้ในราชการของกรมชลประทานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ ซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงไม่อาจลงนามรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทได้ และการจัดซื้อที่ดินของกรมชลประทานจะเป็นเฉพาะที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิจะไม่จัดซื้อเนื่องจากเป็นที่ดินของรัฐโดยสภาพ แต่หากมีราษฎรบุกรุกครอบครองทำประโยชน์ กรมชลประทานจะจ่ายเงินเป็นค่าชดเชยเฉพาะทรัพย์สินสิ่งปลูกสร้าง ดังนั้นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอออกโฉนดที่ดินไม่มีหลักฐานการได้มากรมชลประมานจึงไม่มีการจัดซื้อ ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เพราะเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ลงนามรับรองแนวเขตก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการสอบสวนไกล่เกลี่ยของเจ้าพนักงานที่ดิน และหากไม่สามารถตกลงกันได้ เจ้าพนักงานที่ดินจะเป็นผู้พิจารณาว่าใครมีสิทธิในที่ดินดีกว่ากัน คู่กรณีฝ่ายใดไม่พอใจต้องไปฟ้องศาลตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป และศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ราชพัสดุที่เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินระหว่างคู่กรณี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นหน่วยงานในกระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ให้ใช้ จัดประโยชน์ จัดทำนิติกรรม และดำเนินการในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ส่วนธนารักษ์พื้นที่สระบุรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีหน้าที่ระวังชี้แนวเขตที่ดินและลงนามรับรองแนวเขตที่ดินซึ่งเป็นที่ราชพัสดุในจังหวัดสระบุรี ตามข้อ ๘ วรรคหนึ่ง ของกฎกระทรวง ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๕
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ยินยอมลงนามรับรองแนวเขตที่ดินด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกตามที่ผู้ฟ้องคดีนำรังวัดขอออกโฉนดที่ดิน อ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุที่อยู่ในความดูแลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงเป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ในการปกครองดูแลที่ราชพัสดุตามที่กฎหมายบัญญัติ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสถานะของที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอออกโฉนดที่ดิน ซึ่งมิใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในที่ดิน เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ลงนามรับรองแนวเขตที่พิพาท โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายไม่สามารถออกโฉนดที่ดินในที่พิพาทได้ ขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รับรองแนวเขตที่ดินที่พิพาทและให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดสระบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ตนเองมีสิทธิครอบครอง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ การที่จะบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รับรองแนวเขตที่ดินตามที่ผู้ฟ้องคดีขอรังวัดออกโฉนดที่ดินได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ ตั้งอยู่บริเวณท้ายทางระบายน้ำล้นอ่างเก็บน้ำคลองเพรียว โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ หมู่ที่ ๖ ตำบลตะกุด อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ต่อมาผู้ฟ้องคดียื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินจังหวัดชัยนาท-ลพบุรี-สุพรรณบุรี-สระบุรี ตามโครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๒ โดยมีหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดินที่ขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินที่เชื่อถือได้พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการรังวัดปรากฏว่า ที่ดินด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ที่ดินเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้ลงนามรับรองแนวเขตที่ดิน ส่วนที่ดินด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก ผู้แทนของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ ลงนามรับรองแนวเขตที่ดิน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งจะต้องรับรองแนวเขตที่ดินร่วมกับโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ มิได้ลงนามรับรองแนวเขตที่ดินดังกล่าว และต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีหนังสือแจ้งผู้อำนวยการศูนย์เดินสำรวจออกโฉนดที่ดินฯ ว่า ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอออกโฉนดที่ดินเป็นที่ราชพัสดุใช้ประโยชน์ในราชการกรมชลประทาน”อ่างเก็บน้ำคลองเพรียว” จึงไม่สามารถลงนามรับรองแนวเขตที่ดินดังกล่าวได้ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อหรือจัดหาที่ดินในโครงการอ่างเก็บน้ำคลองเพรียวและการเข้าใช้ทำประโยชน์ในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอออกโฉนดที่ดิน ซึ่งผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ มีหนังสือแจ้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ว่า ไม่ปรากฏหลักฐานการจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดิน ไม่มีหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดิน และโครงการฯ มิได้เข้าครอบครองใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ลงนามรับรองแนวเขตในการขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งต่อมารองผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีมีหนังสือแจ้งผู้ฟ้องคดีว่า ศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินฯ อยู่ระหว่างรอผลการดำเนินการของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สระบุรีเกี่ยวกับการระวังชี้แนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ส่วนสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สระบุรีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ พิจารณาว่าสามารถลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินให้กับผู้ฟ้องคดีได้หรือไม่ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ลงนามรับรองแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน สร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น สร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควรและเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เนื่องจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ ได้แจ้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แล้วว่าไม่ปรากฏหลักฐานการจ่ายเงินทดแทน ไม่มีหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดิน และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ มิได้เข้าครอบครองใช้ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอออกโฉนดที่ดิน ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รับรองแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กำหนดและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การโดยสรุปว่า ได้กระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินอยู่ในเขตที่ราชพัสดุใช้ในราชการของกรมชลประทานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ ซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงไม่อาจลงนามรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทได้ และการจัดซื้อที่ดินของกรมชลประทานจะเป็นเฉพาะที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิจะไม่จัดซื้อเนื่องจากเป็นที่ดินของรัฐโดยสภาพ แต่หากมีราษฎรบุกรุกครอบครองทำประโยชน์ กรมชลประทานจะจ่ายเงินเป็นค่าชดเชยเฉพาะทรัพย์สินสิ่งปลูกสร้าง ดังนั้นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีขอออกโฉนดที่ดินไม่มีหลักฐานการได้มากรมชลประทานจึงไม่มีการจัดซื้อ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีฟ้องคดีนี้โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่ศาลจะพิพากษาตามที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสายพิณ หริ่งรัตน์ ผู้ฟ้องคดี กรมธนารักษ์ ที่ ๑ ธนารักษ์พื้นที่สระบุรี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์/คัดทาน