คำวินิจฉัยที่ 59/2563

แหล่งที่มา : สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องเอกชนด้วยกัน ที่ ๑ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย อ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่มารดาจำเลยที่ ๑ นำที่ดินที่โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ข.) ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) และต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดังกล่าวไปขอออกโฉนดที่ดิน ซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่มารดาจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๒ เพิกถอนออกเอกสารสิทธิในที่ดินที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยที่ ๑ และบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยที่ ๑ และบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท กับให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ ๑ ให้การโดยสรุปว่า จำเลยที่ ๑ กับมารดา ได้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การว่า การออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาทเป็นไปโดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้โจทก์จะฟ้องว่าการออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่มารดาจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำขอให้จำเลยที่ ๒ เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท อันเป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครอง แต่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเหตุแห่งการขอเพิกถอนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ มารดาจำเลยที่ ๑ เป็นเพียงผู้อาศัยสิทธิทำกินในที่ดินของโจทก์ และมีคำขอให้จำเลยที่ ๑ และบริวารออกจากที่ดินพิพาท ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นของมารดาจำเลยที่ ๑ โดยต่างฝ่ายต่างต้องพิสูจน์การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดิน เนื้อหาตามคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทของจำเลยที่ ๑ และเป็นการขอให้ศาลรับรองและคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของตนเป็นสำคัญยิ่งกว่าการขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งทางปกครอง แม้โจทก์จะขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๒ เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินรวมอยู่ด้วย ก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์หรือของมารดาจำเลยที่ ๑ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

Share