แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓๘/๒๕๔๘
วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองนครราชสีมา
ระหว่าง
ศาลแขวงอุบลราชธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครราชสีมาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีศาลที่รับฟ้องคดีเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
นางสีดา ทิมา ที่ ๑ นายกิตติศักดิ์ ทิมา ที่ ๒ นายมัฆวาฬ ทิมา ที่ ๓ นางศิริลักษณ์ ทรงประโคน ที่ ๔ นางอัญชลี คล้ายสุบรรณ์ ที่ ๕ นางเบญจมาศ สมัตถภาพงศ์ ที่ ๖ นางเบญจมาภรณ์ สายธนู ที่ ๗ และนางผกาสินธ์ มุ่งหมาย ที่ ๘ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเขื่องใน ที่ ๒ และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสร้างถ่อ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองนครราชสีมาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๖๑/๒๕๔๕ ความว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งแปด เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบจอง (น.ส. ๒) เลขที่ ๕๔๔ หมู่ที่ ๒ ตำบลสร้างถ่อ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีชื่อนายเสมอ ทิมา สามีผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ครอบครอง เนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ ๗๖ ตารางวา ออกเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ เดิมเป็นที่ดินมือเปล่ามีนายคำวัง วราห์คำ และนางหม่น วราห์คำ เป็นเจ้าของ และต่อมาตกทอดมาเป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ โดยทางมรดก ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และนายเสมอ ทิมา สามีพร้อมกับผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๘ ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์มาตลอด ไม่มีการโต้แย้งคัดค้านทางราชการไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้อง หรืออ้างว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์และไม่เคยมีบุคคลใดหรือประชาชนเข้าใช้ประโยชน์ ครั้นปี ๒๕๒๕ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มอบหมายให้นายเสมอนำที่ดินไปขอออกใบจอง เจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดสอบสวนสิทธิแล้วเห็นว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ กับนายเสมอครอบครองและขอออกใบจองจริง ผู้ปกครองท้องที่ที่ระวังแนวเขตที่สาธารณประโยชน์ไม่คัดค้านว่า ออกทับที่สาธารณประโยชน์ จึงได้ออกใบจองดังกล่าวข้างต้น เมื่อนายเสมอตายผู้ฟ้องคดีทั้งแปดขอรับโอนมรดกและได้จดทะเบียนรับโอนมรดก เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ โดยไม่มีใครโต้แย้งคัดค้าน ต่อมา เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๓๙ ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดร่วมกันยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน เจ้าหน้าที่ได้ทำการรังวัดแต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คัดค้าน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการออกใบจองดังกล่าว คณะกรรมการโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ได้สอบสวนฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนและสรุปว่า น.ส. ๒ อยู่ในที่สาธารณประโยชน์ การออกเอกสารสิทธิจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเสนอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกคำสั่งเพิกถอนใบจอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงมีคำสั่งที่ ๒๗/๒๕๔๔ ลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ เพิกถอนใบจองดังกล่าวโดยระบุว่าคณะกรรมการประสานการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐส่วนจังหวัดอุบลราชธานี ได้มีมติให้เพิกถอนใบจองเนื่องจากเป็นที่สาธารณะซึ่งประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีมีหนังสือลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๕ แจ้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ว่าไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์เพราะผู้ฟ้องคดีทั้งแปดมิได้มีการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามใบจองมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินและไม่สามารถนำพยานเอกสารมาหักล้างความเห็นของคณะกรรมการประสานการแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐส่วนจังหวัดอุบลราชธานีได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดทราบ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๕ ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดเห็นว่าคำสั่งเพิกถอนใบจอง คำสั่งยกอุทธรณ์เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายมิอาจใช้ประโยชน์ในที่ดินได้โดยปกติสุข ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดครอบครองและ การออกเอกสาร น.ส. ๒ ชอบด้วยกฎหมาย เพิกถอนคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๒ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เพิกถอนคำคัดค้านการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่พิพาท และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๒ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งแปด
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทที่ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดนำใบจอง (น.ส. ๒) เลขที่ ๕๔๔ ตำบลสร้างถ่อ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานีมายื่นขอออกโฉนดนั้น เป็นที่ป่าช้าสาธารณประโยชน์อันเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ให้เพิกถอนใบจองดังกล่าวและคำสั่งยกอุทธรณ์ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ตลอดจน การคัดค้านการรังวัดเพื่อออกโฉนดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เหตุในการฟ้องคดีเกิดจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีคำสั่งเพิกถอนใบจอง เลขที่ ๕๔๔ ที่ผู้ฟ้องคดีนำมาเป็นหลักฐานในการยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ผู้ฟ้องคดีครอบครองและออกเอกสาร น.ส. ๒ โดยชอบด้วยกฎหมาย เพิกถอนคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๒ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เพิกถอนคำคัดค้านการรังวัดเพื่อออกโฉนดของผู้ฟ้องคดี และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๒ ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ดังนั้นการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาว่าคำสั่งของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งแปด เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายในที่ดินพิพาทตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ หรือที่ดินพิพาทเป็นที่ป่าช้าสาธารณประโยชน์ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีกล่าวอ้าง แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นอื่นต่อไปได้ กรณีจึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามนัย คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๖๑/๒๕๔๗
ศาลแขวงอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ แม้ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดจะมีคำขอให้ศาล มีคำสั่งว่าผู้ฟ้องคดีทั้งแปดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ก็ตาม แต่คำขอหลักของคดีคือขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเพิกถอนใบจองของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และให้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งแปด อันเป็นคำสั่งทางปกครองที่มีผลเป็นการระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิของบุคคลตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ (๑) อันเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ดังนั้น คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามใบจอง (น.ส. ๒) เลขที่ ๕๔๔ หมู่ที่ ๒ ตำบลสร้างถ่อ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ ๗๖ ตารางวา ซึ่งตกทอดมาทางมรดก แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คัดค้านการขอออกโฉนดอ้างว่า ที่ดินตาม น.ส. ๒ ดังกล่าวอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงมีคำสั่งเพิกถอนใบจองดังกล่าวโดยระบุว่าคณะกรรมการประสานการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐส่วนจังหวัดอุบลราชธานีได้มีมติให้เพิกถอนใบจองเนื่องจากเป็นที่สาธารณประโยชน์ ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวแต่ผู้มีอำนาจพิจารณาแล้วยกอุทธรณ์ อ้างว่าผู้ฟ้องคดีทั้งแปดมิได้มีการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามใบจองมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินและไม่สามารถนำพยานเอกสารมาหักล้างความเห็นของคณะกรรมการประสานการแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐฯได้ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดครอบครองและออกเอกสาร น.ส. ๒ โดยชอบด้วยกฎหมาย เพิกถอนคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๒ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เพิกถอนคำคัดค้านการรังวัดเพื่อออกโฉนดของผู้ฟ้องคดีทั้งแปด และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๒ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งแปด ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า ที่ดินพิพาทที่ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดนำใบจอง (น.ส. ๒) ดังกล่าวมายื่นขอออกโฉนดนั้นเป็นที่ป่าช้าสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ให้เพิกถอนใบจองดังกล่าวและคำสั่งยกอุทธรณ์ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ตลอดจนการคัดค้านการรังวัดเพื่อออกโฉนดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น ตามคำฟ้องคดีนี้จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดยื่นคำฟ้องต่อศาลขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้รับรองหรือคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตน ทั้งการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่พลเมืองใช้ร่วมกันนั้น ศาลจำต้องพิจารณาในปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นอื่นต่อไปได้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดี ระหว่าง นางสีดา ทิมา ที่ ๑ นายกิตติศักดิ์ ทิมา ที่ ๒ นายมัฆวาฬ ทิมา ที่ ๓ นางศิริลักษณ์ ทรงประโคน ที่ ๔ นางอัญชลี คล้ายสุบรรณ์ ที่ ๕ นางเบญจมาศ สมัตถภาพงศ์ ที่ ๖ นางเบญจมาภรณ์ สายธนู ที่ ๗ และนางผกาสินธ์ มุ่งหมาย ที่ ๘ ผู้ฟ้องคดี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเขื่องใน ที่ ๒ และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสร้างถ่อ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ชาญชัย ลิขิตจิตถะ (ลงชื่อ) วิชัย วิวิตเสวี
(นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ) (นายวิชัย วิวิตเสวี)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
วัชรินทร์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๔