แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงาน ทางปกครองและจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ยื่นขอออก น.ส. ๓ ก. ต่อจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๓ คัดค้านอ้างว่าที่ดินเป็นของตน และจำเลยที่ ๑ ออก น.ส. ๓ ก. ให้จำเลยที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับที่ดินของโจทก์ทั้งแปลง ทั้งไม่แจ้งการระวังชี้แนวเขตให้โจทก์ทราบ การรังวัด สอบเขตที่ดินผิดพลาดและการนำชี้ที่ดินไม่สุจริต ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. และออก น.ส. ๓ ก.ให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า การรังวัดที่ดินและออกหลักฐานที่ดินตามที่รังวัดชอบแล้ว จำเลยที่ ๓ ให้การและฟ้องแย้งว่า การออก น.ส. ๓ ก. ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นว่า คดีนี้ เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับ สิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓๑/๒๕๕๙
วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๙
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดนราธิวาส
ระหว่าง
ศาลปกครองสงขลา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนราธิวาสโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ นางสะลือมะ หะยีโว๊ะ โจทก์ ยื่นฟ้อง เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอแว้ง ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ นายเจ๊ะแม ดอเลาะ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนราธิวาส เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๕๑๓/๒๕๕๗ หมายเลขแดงที่ ๔๖๔/๒๕๕๘ ความว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๓๗๖ ตำบลโล๊ะจูด อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส เนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๔๐ ตารางวา ด้วยการให้และรับโอนจากมารดา ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอเพื่อออก น.ส. ๓ ก. เป็นรายเฉพาะแปลงในที่ดินดังกล่าวต่อจำเลยที่ ๑ แต่เมื่อทำการรังวัด จำเลยที่ ๓ ได้คัดค้านโดยอ้างว่า เป็นที่ดินของจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๑ แจ้งโจทก์ว่ายังไม่อาจรังวัดได้เนื่องจากที่ดินของโจทก์ทับซ้อนกับที่ดินของจำเลยที่ ๓ ต่อมาโจทก์ตรวจสอบพบว่า ที่ดินของจำเลยที่ ๓ ดังกล่าวได้ออก น.ส. ๓ ก. เมื่อปี ๒๕๒๒ ตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๒๓ โดยได้ออกหลักฐานที่ดินขณะที่นางบีเดาะ สะแลแม เป็นเจ้าของที่ดินและโอนขายกันต่อมาจนถึงจำเลยที่ ๓ โดยที่เป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ภายหลังจากที่โจทก์รับโอนและเข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวของโจทก์เป็นเวลาถึง ๗ ปีเศษ และเจ้าพนักงานที่ดินไม่เคยแจ้งการระวังชี้แนวเขตให้โจทก์ทราบ ทำให้ที่ดินของจำเลยที่ ๓ ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ทั้งแปลง การรังวัดสอบเขตที่ดินของเจ้าพนักงานที่ดินผิดพลาดและการนำชี้ที่ดินโดยไม่สุจริตของนางบีเดาะ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ สั่งให้จำเลยที่ ๑ เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๒๓ ของจำเลยที่ ๓ และให้กลับคืนสถานะเดิมตามที่มีการครอบครองจริง และให้จำเลยที่ ๒ สั่งให้จำเลยที่ ๑ ออก น.ส. ๓ ก. ตามคำขอของโจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า การดำเนินการรังวัดที่ดินและการออกหลักฐานที่ดินตามที่รังวัดชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การและฟ้องแย้งว่า การออกหลักฐานหนังสือตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๒๓ ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๒๓ ซึ่งจำเลยที่ ๓ ครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีก
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนราธิวาสพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์กับจำเลยที่ ๓ จะโต้แย้งกันเรื่องกระบวนการรังวัดเพื่อออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๒๓ ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งออกในขณะที่นางบีเดาะเป็นเจ้าของที่ดินว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่ แต่การที่โจทก์อ้างว่านางบีเดาะเจ้าของที่ดินเดิมนำชี้ที่ดินทับที่ดินของโจทก์โดยมีคำขอให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๒๓ ของจำเลยที่ ๓ กับออกหลักฐานที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ให้แก่โจทก์ตามคำขอที่ได้ยื่นไว้ ก็เป็นไปเพื่อให้ได้สิทธิในที่ดินของโจทก์ ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินที่มีการรังวัดว่าเป็นสิทธิของโจทก์หรือไม่ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินซึ่งเป็นสิทธิในทรัพย์สิน ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และยังต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายที่ดินอันเป็นกฎหมายอื่นที่บัญญัติในเรื่องนั้นไว้เป็นพิเศษประกอบด้วย ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน ดังนั้น เมื่อเป็นการโต้แย้งคัดค้านเพื่อให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองสงขลาพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นการฟ้องคดีโต้แย้งการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ว่าได้ใช้อำนาจทางปกครองกระทำการโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับกรณีการรังวัดที่ดิน ตามมาตรา ๖๙ ทวิ และมาตรา ๗๐ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ น.ส. ๓ ของโจทก์ทับซ้อนกับของจำเลยที่ ๓ ดังนั้น ประเด็นหลักที่พิพาทในคดีนี้จึงมีลักษณะเป็นคดีปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เพราะหากศาลปกครองพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าการกระทำทางปกครองของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ชอบด้วยกฎหมายและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ซึ่งได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๓๗๖ ซึ่งมีที่ดินแปลงพิพาทในคดีนี้บางส่วนรวมอยู่ด้วยมาตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นวันก่อนวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๓ ซึ่งเป็นวันที่นางบีเดาะ สะแลแม ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๘๒๓ อาจถือเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันจะมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อภาระการพิสูจน์ในเรื่องสิทธิครอบครองของโจทก์ และจำเลยที่ ๓ ในกรณีที่จำเลยที่ ๓ ประสงค์จะนำคดีที่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินดังกล่าวไปฟ้องศาลยุติธรรมเป็นอีกคดีหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การพิจารณาว่าโจทก์หรือจำเลยที่ ๓ ผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทดังกล่าว อันเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันกับประเด็นหลักในคดีนี้ตามคำขอที่โจทก์ขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๒ สั่งให้จำเลยที่ ๑ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ตามคำขอที่โจทก์ยื่นไว้ กับจำเลยที่ ๑ นั้น หากศาลปกครองเห็นว่า ควรพิจารณาพิพากษาตามคำขอดังกล่าวไปในคราวเดียวกันกับประเด็นพิพาทหลักในคดีนี้ได้ ศาลปกครองก็ย่อมมีอำนาจยกเอาบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือตามประมวลกฎหมายที่ดินมาใช้ในการพิจารณาพิพากษาได้ตามความยุติธรรมเพราะหาได้มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ และหามีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้ศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะมีอำนาจยกเอาบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ทั้งสองฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น คดีนี้จึงสมควรเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๓๗๖ ตำบลโล๊ะจูด อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส เนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๔๐ ตารางวา ด้วยการให้และรับโอนจากมารดา ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอเพื่อออก น.ส. ๓ ก. เป็นรายเฉพาะแปลง ในที่ดินดังกล่าวต่อจำเลยที่ ๑ แต่เมื่อทำการรังวัด จำเลยที่ ๓ ได้คัดค้านโดยอ้างว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๑ ออก น.ส. ๓ ก. ให้แก่จำเลยที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทับซ้อนกับที่ดินของโจทก์ทั้งแปลง ทั้งไม่แจ้งการระวังชี้แนวเขตให้โจทก์ทราบ การรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยที่ ๑ จึงผิดพลาด และการนำชี้ที่ดินโดยไม่สุจริตของเจ้าของเดิม ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๒๓ ของจำเลยที่ ๓ และให้กลับคืนสถานะเดิมตามที่มีการครอบครองจริง และออก น.ส. ๓ ก.ตามคำขอของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า การดำเนินการรังวัดที่ดิน และการออกหลักฐานที่ดินตามที่รังวัดชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๓ ให้การและฟ้องแย้งว่า การออกหลักฐานหนังสือตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๒๓ ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๒๓ ซึ่งจำเลยที่ ๓ ครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ขอให้ยกฟ้อง โจทก์และห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีก เห็นว่า คดีนี้ แม้ว่าโจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. อันเป็นคำสั่งทางปกครอง แต่ก็เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสะลือมะ หะยีโว๊ะ โจทก์ เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอแว้ง ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ นายเจ๊ะแม ดอเลาะ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ