แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีนี้เป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องกรมที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่ากระทำละเมิดอันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของกรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการโดยประมาทเลินเล่อในการจดทะเบียนขายฝากที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยไม่ตรวจสอบว่านางสาวป. กับพวกปลอมตนว่าเป็นนางก. เจ้าของที่ดิน และจดทะเบียนขายฝากให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งที่พ้นกำหนดเวลาไถ่ถอนการขายฝากกับผู้ซื้อฝากเดิมเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีเสียหาย โดยมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ เมื่อผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายฝากนี้ เกิดจากการที่ผู้ฟ้องคดีถูกนางสาวป. กับพวกร่วมกันฉ้อโกงโดยหลอกลวงและแสดงตนว่าเป็นนางก. เจ้าของที่ดินทำให้ผู้ฟ้องคดีหลงเชื่อรับซื้อฝากที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างถึงความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมอันเป็นนิติสัมพันธ์ทางแพ่งระหว่างเอกชนซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมทั้งปรากฎว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางก. กับพวกเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาร่วมกันฉ้อโกงและร่วมกันปลอมเอกสารต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก ส่วนนางก. ก็เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ฟ้องคดีกับพวกเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นข้อพิพาทที่เกิดจากมูลเหตุเดียวกัน และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยุติธรรม คำพิพากษาทั้งสองคดีดังกล่าวย่อมมีผลต่อการรับฟังข้อเท็จจริงและคำพิพากษาในคดีนี้ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงควรได้รับการพิจารณาโดยศาลในระบบเดียวกัน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓/๒๕๕๙
วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลปกครองพิษณุโลก
ระหว่าง
ศาลจังหวัดพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองพิษณุโลกโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ นางสุนันท์ คล้ายหล่อ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องกรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองพิษณุโลก เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๒/๒๕๕๘ ความว่า ระหว่างวันที่ ๒๗ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ นางสาวปฏิพันธ์ พิลึก กับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้ฟ้องคดี โดยแสดงตนหรือปลอมตนว่าเป็น นางกาญจนา จั่นซื่อ เจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๐๐๙ เลขที่ ๑๔๕๕๐ เลขที่ ๑๔๕๕๑ และเลขที่ ๖๑๘๓๗ ตำบลวัดพริก (บึงพระ) อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก พร้อมสิ่งปลูกสร้างและต้องการเงินจำนวน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อนำเงินดังกล่าวไปไถ่ถอนการขายฝากที่ดินทั้งสี่แปลงที่ขายฝากไว้กับนางอรวรรณ มีคง จึงขอขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีตรวจสอบสารบรรณการจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินแล้วเห็นว่า นางกาญจนาเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวและมีการขายฝากไว้กับนางอรวรรณดังที่นางสาวปฏิพันธ์กล่าวอ้างจริงจึงซื้อฝากที่ดินพิพาทโดยมีการทำสัญญาขายฝากฉบับลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ โดยนางสาวปฏิพันธ์ได้แสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดพิษณุโลกว่าเป็นนางกาญนา พร้อมมอบบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านของนางกาญจนา และปลอมลายมือชื่อของนางกาญจนาในเอกสารดังกล่าว และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงได้จ่ายเงินค่าซื้อฝากที่ดินจำนวน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่นางสาวปฏิพันธ์ การกระทำของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่ตรวจสอบทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชน ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของนางกาญจนาจากฐานข้อมูลการทะเบียนที่สามารถตรวจสอบรูปพรรณใบหน้าของนางกาญจนาได้ และไม่ตรวจสอบลายมือชื่อของนางสาวปฏิพันธ์ที่ปลอมในสัญญาดังกล่าวว่าตรงกับลายมือชื่อนางกาญจนาในสัญญาขายฝากหรือเอกสารอื่นที่เคยลงลายมือชื่อไว้ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดียังจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำสัญญาขายฝากและจดทะเบียนขายฝากให้กับนางกาญจนากับผู้ฟ้องคดีทั้งที่พ้นกำหนดเวลาไถ่ถอน เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงิน ๒,๔๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้แก่ผู้ฟ้องคดีเสร็จ
ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า การจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากและการจดทะเบียนขายฝากเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบถูกต้องทุกประการ ข้อพิพาทตามฟ้องเป็นผลสืบเนื่องจากการที่นางสาวปฏิพันธ์ พิลึก กับพวกร่วมกันหลอกลวงผู้ฟ้องคดีให้หลงเชื่อว่าเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินพิพาท มูลเหตุแห่งคดีจึงเป็นนิติสัมพันธ์ทางแพ่งระหว่างเอกชนกับเอกชน ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดียื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากนิติสัมพันธ์ในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับเอกชน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า การทำสัญญาขายฝากที่ดินและการไถ่ถอนจากการขายฝากที่ดินนั้น แม้จะเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชนแต่หากมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๕๖ แห่งประมวลกฎมายแพ่งและพาณิชย์ ก็จะส่งผลให้นิติกรรมการขายฝากที่ดินหรือการไถ่ถอนจากการขายฝากที่ดินตกเป็นโมฆะตามนัยมาตรา ๑๕๒ แห่งประมวลกฎมายแพ่งและพาณิชย์ โดยประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๗๑ วรรคหนึ่งบัญญัติให้เจ้าพนักงานที่ดินเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ส่วนกรณีการจดทะเบียนไถ่ถอนจากการขายฝากที่ดินนั้น มาตรา ๘๐ บัญญัติให้เจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานการไถ่ถอนจากขายฝากของผู้รับซื้อฝาก ก่อนจดทะเบียนในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้มีสิทธิไถ่ถอน นอกจากนี้ กฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ยังได้กำหนดขั้นตอนและวิธีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าพนักงานที่ดินไว้ประกอบกับระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการจดทะเบียนนิติกรรมเกี่ยวกับการขายฝากที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๒๔ (๓) กำหนดให้เจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบสารบบ ประวัติความเป็นมาของที่ดิน ชื่อเจ้าของที่ดิน อายุ ชื่อบิดา มารดา และลายมือชื่อหรือลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ขอจดทะเบียนในคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ดังนั้น การสอบสวนในเรื่องสิทธิและความสามารถของบุคคล ความสมบูรณ์แห่งนิติกรรม รวมถึงการตรวจสอบลายมือชื่อของผู้ขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก่อนรับจดทะเบียนขายฝากที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน การที่เจ้าพนักงานที่ดินพิจารณาคำขอจดทะเบียนขายฝากที่ดินของนางสาวปฏิพันธ์ พิลึก แล้วอนุญาตให้จดทะเบียนนิติกรรมขายฝากที่ดินตามคำขอของนางสาวปฏิพันธ์ จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองตามนัยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แม้คดีจะมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของนิติกรรมขายฝากที่ดินก็ตาม แต่ศาลก็ย่อมที่จะต้องพิจารณาและตรวจสอบถึงความสมบูรณ์ของขั้นตอนในการใช้อำนาจในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม รวมไปถึงการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีด้วย เนื่องจากเป็นขั้นตอนตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินได้บัญญัติไว้
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการจดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๐๐๙ เลขที่ ๑๔๕๕๐ เลขที่ ๑๔๕๕๑ และเลขที่ ๖๑๘๓๗ โดยนางสาวปฏิพันธ์ พิลึก ได้แสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นนางกาญจนา จั่นซื่อ เจ้าของที่ดิน พร้อมมอบบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้านของนางกาญจนา อีกทั้งปลอมลายมือชื่อของนางกาญจนาในเอกสารและจดทะเบียนขายฝากที่ดินให้กับผู้ฟ้องคดี แต่เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีไม่ตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบว่าผู้ขอจดทะเบียนขายฝากที่ดินเป็นนางกาญจนาเจ้าของที่ดินจริงหรือไม่ และมิได้ตรวจสอบลายมือชื่อของนางสาวปฏิพันธ์ที่ปลอมลายมือชื่อของนางกาญจนาในเอกสารว่าตรงกับลายมือชื่อของนางกาญจนา เจ้าของที่ดิน ที่เคยลงชื่อไว้หรือให้ตัวอย่างไว้หรือไม่ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดียังจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการทำสัญญาขายฝากและจดทะเบียนขายฝากที่ดินทั้งสี่แปลงให้แก่ผู้ฟ้องคดี ทั้งที่พ้นกำหนดเวลาไถ่ถอนจากการขายฝากแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ และหากเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีไม่จดทะเบียนการขายฝากตามสัญญาลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ผู้ฟ้องคดีก็จะไม่รับซื้อฝากที่ดินดังกล่าว การกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายโดยจ่ายเงินให้แก่นางสาวปฏิพันธ์ไปเป็นเงิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระค่าเสียหายเป็นเงิน ๒,๔๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจตามมาตรา ๗๑ และมาตรา ๘๐ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินดำเนินการจดทะเบียนไถ่ถอนจากการขายฝากที่ดินและจดทะเบียนขายฝากที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ในการสอบสวนสิทธิและความสามารถของผู้ยื่นคำขอจดทะเบียน และความสมบูรณ์แห่งนิติกรรมขายฝากและไถ่ถอนจากการขายฝาก รวมถึงการตรวจสอบลายมือชื่อของผู้ขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก่อนรับจดทะเบียนขายฝากที่ดินตามที่กำหนดในมาตรา ๗๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบกับข้อ ๒ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และข้อ ๒๔ (๓) ของระเบียบกรมที่ดิน ว่าด้วยการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับการขายฝากที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย และจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ฟ้องคดีจะฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดต่อผู้ฟ้องคดีโดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยการรับจดทะเบียนสัญญาขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างผู้ฟ้องคดีและนางกาญจนา จั่นซื่อ ตามโฉนดเลขที่ ๕๐๐๙, ๑๔๕๕๐, ๑๔๕๕๑ และ ๖๑๘๓๗ ตำบลวัดพริก (บึงพระ) อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีต้องเสียหายก็ตาม แต่การรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าวจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำต้องพิจารณาสิทธิของบุคคลผู้เป็นคู่กรณีที่ทำนิติกรรมนั้นเป็นสำคัญ เมื่อมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เกิดจากการที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า นางสาวปฏิพันธ์ พิลึก กับพวก ได้ร่วมกันหลอกลวงผู้ฟ้องคดี โดยแสดงตนหรือปลอมตนเองต่อเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีว่าเป็นนางกาญจนา เจ้าของที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว โดยมอบบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านของนางกาญจนาพร้อมสำเนาให้เจ้าหน้าที่แล้วปลอมลายมือชื่อของนางกาญจนาในสัญญาขายฝากฉบับลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และในเอกสารของสำนักงานที่ดินทุกฉบับในฐานะผู้ขายฝาก ผู้ฟ้องคดี จึงได้จ่ายเงิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่นางสาวปฏิพันธ์ไป ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน นอกจากนี้ ผู้ฟ้องคดียังเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางกาญจนากับพวกเป็นจำเลยในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงและร่วมกันปลอมเอกสาร ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๒๒๓/๒๕๕๗ ของศาลจังหวัดพิษณุโลก ส่วนนางกาญจนาก็เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ฟ้องคดีเป็นคดีแพ่งขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมสัญญาขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ตามคดีหมายเลขดำที่ ๓๑๙/๒๕๕๗ ของศาลจังหวัดพิษณุโลกด้วย โดยคดีทั้งสองซึ่งมีมูลเหตุแห่งคดีเดียวกันกับคดีนี้ก็เป็นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน ดังนี้ คดีระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นเพียงกรณีที่สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่านางสาวปฏิพันธ์กับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้ฟ้องคดีเท่านั้น การที่ศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาว่าสัญญาขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ มีผลผูกพันตามกฎหมายหรือไม่เป็นหลัก หากได้ความว่าสัญญาดังกล่าวมีผลผูกพันตามกฎหมาย การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก็ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีย่อมได้ไปซึ่งสิทธิในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยไม่ถือว่าผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย แต่หากได้ความว่าสัญญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและถือว่าผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ข้อพิพาทในคดีนี้เกิดขึ้นเนื่องมาจากนิติสัมพันธ์ของบุคคลในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องกรมที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่ากระทำละเมิดอันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของกรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการโดยประมาทเลินเล่อในการจดทะเบียนขายฝากที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยไม่ตรวจสอบว่านางสาวปฏิพันธ์ พิลึก กับพวกปลอมตนว่าเป็นนางกาญจนา จั่นซื่อ เจ้าของที่ดิน และจดทะเบียนขายฝากให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งที่พ้นกำหนดเวลาไถ่ถอนการขายฝากกับผู้ซื้อฝากเดิมเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีเสียหาย โดยมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ เมื่อผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายฝากนี้ เกิดจากการที่ผู้ฟ้องคดีถูกนางสาวปฏิพันธ์กับพวกร่วมกันฉ้อโกงโดยหลอกลวงและแสดงตนว่าเป็นนางกาญจนาเจ้าของที่ดินทำให้ผู้ฟ้องคดีหลงเชื่อรับซื้อฝากที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างถึงความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมอันเป็นนิติสัมพันธ์ทางแพ่งระหว่างเอกชนซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ทั้งปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางกาญจนากับพวกเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาร่วมกันฉ้อโกงและร่วมกันปลอมเอกสารต่อศาลจังหวัดพิษณุโลกเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๒๒๓/๒๕๕๗ ส่วนนางกาญจนาก็เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ฟ้องคดีกับพวกเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ตามคดีหมายเลขดำที่ ๓๑๙/๒๕๕๗ ซึ่งเป็นข้อพิพาทที่เกิดจากมูลเหตุเดียวกัน และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยุติธรรม คำพิพากษาทั้งสองคดีดังกล่าวย่อมมีผลต่อการรับฟังข้อเท็จจริงและคำพิพากษาในคดีนี้ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่คู่ความและการพิจารณาพิพากษาคดี ข้อพิพาทในคดีนี้จึงควรได้รับการพิจารณาโดยศาลในระบบเดียวกัน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสุนันท์ คล้ายหล่อ ผู้ฟ้องคดี กรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่หนึ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานศาลปกครองสูงสุด
(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ